ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 389 สอบสวน
ตอนที่ 389 สอบสวน [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่นึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป
“อันใดนะเจ้าคะ?”
มู่ชิงเห่อเชิดคางขึ้น
“รอข้าเปิดม่านพลังนี้ได้ก่อน มันจะไม่ดึงดูดสายตาผู้อื่น เจ้าแค่ตามข้ามาก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่อ้าปากค้างเบิกตากว้าง
หลังจากผ่านไปนาน คาดไม่ถึงว่ามู่ชิงเห่อจะพานางเข้ามาในสุสานจักรพรรดิจริงๆ
“รองแม่ทัพมู่ ทำแบบนี้คงไม่เหมาะสมล่ะมั้ง? สถานที่แบบสุสานจักรพรรดิ และพวกเราก็ไม่ใช่คนในราชวงศ์ของแคว้นเย่าเฉิน จะเข้าไปส่งๆ ได้อย่างใด?”
เดิมทีปัญหาไม่ใช่เรื่องที่จะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นหรือไม่ แต่เรื่องนี้มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกแล้ว
มู่ชิงเห่อมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่โกรธแต่ก็ดูไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าไม่อยากเข้าไปหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ “…ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่…รองแม่ทัพมู่ ที่ท่านทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่คิดจนสมองแทบแตก แต่ก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดมู่ชิงเห่อถึงต้องทำแบบนี้
ข้อแรก ไม่มีใครในแคว้นเย่าเฉินล่วงเกินมู่ชิงเห่อ เขาไม่จำเป็นต้องไปขุดสุสานบรรพบุรุษของพวกเขาขึ้นมา
ข้อสอง ต่อให้ในสุสานจักรพรรดิซ่อนสมบัติล้ำค่าอันใดไว้ มู่ชิงเห่อเองน่าจะไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ
เขามีตำแหน่งสูงส่งในราชวงศ์เทียนลิ่ง ของดีของหายากมีหรือที่เขาจะไม่เคยเห็นมัน? แล้วเหตุใดเขาต้องบุกมาที่สุสานจักรพรรดิด้วยเล่า?
มู่ชิงเห่อหรี่ตามองเขา บาดแผลที่อยู่บนใบหน้าก็เหมือนจะดุร้ายขึ้นหลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกทันที นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดให้ดูน่าฟังมากขึ้น
“ท่านเชิญ…”
ด้วยฐานะของนางในตอนนี้ จะถามหาเหตุผลกับมู่ชิงเห่อในตอนนี้ เกรงว่ามันจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ?
ไม่ว่าอย่างใดไหนๆ ก็มาแล้ว เช่นนั้นก็ตามไปดูหน่อยก็แล้วกันว่ามู่ชิงเห่อจะทำอันใดกันแน่
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ยอมเชื่อฟังแล้ว มู่ชิงเห่อจึงถอดสายตากลับไป
เขายกมือขึ้น แสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็มาบรรจบกันอย่างรวดเร็วที่กลางฝ่ามือของเขา โดยแสงเหล่านั้นมีลวดลายแปลกประหลาดอย่างมากอยู่
ฉู่หลิวเยว่มองเข้าไปที่ลวดลายเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว พบว่ามันค่อนข้างคุ้นตาอย่างมาก ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน มู่ชิงเห่อก็ดันฝ่ามือไปด้านหน้า ลวดลายเหล่านั้นก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้วๆ”
เสียงกระทบดังขึ้นเบาๆ
ทันใดนั้นเองความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้าก็เกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้น
นั่นคือม่านพลังที่ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขาซีจินแห่งนี้
เมื่อลวดลายสีเงินเหล่านั้นสัมผัสกับม่านพลัง ทันใดนั้นเองม่านพลังก็สั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ในตอนนั้นเองเสียงกระทบก็หายไป และระลอกคลื่นที่สั่นไหวอยู่เมื่อครู่ก็หยุดนิ่งลงทันที
ทันใดนั้นลวดลายสีเงินก็ละลายแล้วจมหายเข้าไปในม่านพลังอย่างไร้เสียง
ตำแหน่งที่ลวดลายสีเงินจมลงไปกลายเป็นรูตรงกลาง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายออกไปด้านข้าง
ในที่สุดก็เกิดเป็นทางเข้าทรงกลมสีเงินอ่อนๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขาสองคน
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย
ระดับม่านพลังของยอดเขาซีจินนั้นไม่ต่ำ ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสุดยอด วิธีธรรมดาไม่มีทางเปิดม่านพลังได้อย่างราบรื่นเช่นนี้แน่นอน
โดยทั่วไปแล้วจะมีเพียงวัตถุที่สร้างมาคู่กันเพื่อใช้เปิดมันเท่านั้น ถึงจะเปิดมันได้โดยไม่สร้างความผันผวน และไม่ทำให้คนนอกรู้
แน่นอนว่ามู่ชิงเห่อไม่มีทางมีลูกกุญแจที่ใช้เปิดม่านหลังยอดเขาซีจินของแคว้นเย่าเฉินอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นางเห็นเมื่อครู่นั้น…
ทันใดนั้นเองนางก็คิดได้ว่าเมื่อหลายวันที่นางไปหามู่ชิงเห่อ แต่เขากลับไม่อยู่บ้าน ตอนนั้นนางก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด แต่ตอนนี้กลับคิดว่ามันแปลกมาก
เห็นได้ชัดว่ามู่ชิงเห่อไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก
การที่เขาจะเข้าไปในสุสานจักรพรรดิ เขาจะต้องทุ่มเทอย่างมาก
ความคิดของฉู่หลิวเยว่กลับไปกลับมา แต่ใบหน้าของนางยังเรียบสงบอยู่เช่นเดิม
มู่ชิงเห่อหันมามองนางอยู่ครู่หนึ่ง เขาตรวจสอบปฏิกิริยาของนาง
จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
“ตามมา”
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมมองขึ้นที่ยอดเขาซีจินและม่านพลังอีกครั้ง
รอบๆ ยอดเขาซีจินมีทหารคอยคุมกันมากกว่าร้อยนาย อีกทั้งยังมีผู้ที่แข็งแกร่งเข้ามาควบคุมดูแล
แต่ตอนนี้ม่านพลังถูกเปิดออกแล้ว พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
นางกดความคิดฟุ้งซ่านลง และก้าวเท้าเข้าไปในม่านพลัง
…
วังหลวง ตำหนักจักรพรรดินี
เมื่ออยู่ต่อหน้าคำถามของหรงจิ่ว จักรพรรดินีทำได้เพียงก้มหน้าแต่ไม่ได้พูดอันใด
หรงจิ่วเองก็ไม่ได้แปลกใจกับปฏิกริยาของจักรพรรดินี
ความจริงแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนสอบปากคำจักรพรรดินีด้วยตนเอง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อันใดเลย
ตั้งแต่กลับมาจากตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง จักรพรรดินีก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ดูท่าทางแล้ว นางน่าจะอาละวาดอีกครั้งสินะ
เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลา จึงเปิดประเด็นถามว่า
“จักรพรรดินีได้ยินมาว่าท่านมีกล่องที่ท่านสุดแสนจะหวงแหนอยู่กล่องหนึ่ง?”
ทันทีที่เขาพูดออกไป จักรพรรดินีก็เงยหน้าขึ้น ราวกับว่าได้รับการกระทบกระเทือนในจิตใจอย่างมาก
“กล่องอันใด!? ข้าไม่มี! ข้าไม่รู้!”
หรงจิ่วกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“ทุกคนที่อยู่รอบตัวท่าน คายความลับออกมาหมดแล้ว ท่านยังจะไม่ยอมรับอีกหรือ?”
จักรพรรดินีชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหมือนเดาอันใดได้ลางๆ แล้ว
ของสิ่งนี้เป็นความลับที่ปิดมาตลอด หลายปีมานี้ มีแค่ครั้งเดียวก็โดนขันทีตัวน้อยรู้เข้า
แม้ว่าขันทีคนนั้นจะแค่เหลือบมองและไม่เห็นของที่อยู่ในกล่องเลยแม้แต่น้อย แต่นางก็ยังฆ่าเขา
นางมั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่มาวันนี้…ความลับนางกระจัดกระจายไปแล้ว
ขันทีผู้นั้นจะต้องบอกคนอื่นก่อนตายแน่นอน
หลายวันมานี้หรงจิ่วได้จับตัวนางกำนัลที่อยู่ในตำหนักของนางไปสอบสวนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าใช้วิธีทรมานแบบไหน ถึงได้บอกเรื่องแบบนี้ออกไปได้
เมื่อเห็นใบหน้าต่อต้านของจักรพรรดินี ราวกับว่าจะไม่ยอมรับ หรงจิ่วจึงพูดตัดบทขึ้นมาว่า
“เสด็จพ่อก็รู้เรื่องนี้แล้ว เขาจึงให้ข้ามาถามท่าน หากท่านยอมมอบให้แต่โดยดีก็ดีไป แต่หากไม่แล้วล่ะก็…ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นท่านคงจะรับมันไม่ไหว”
จักรพรรดินีรู้สึกแค้นอย่างมาก
“ตอนแรกข้าน่าจะให้คนฆ่าเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ที่ซีเป่ยแล้ว”
ในตอนนั้นนางฆ่ามารดาผู้ให้กำเนิดของหรงจิ่ว ยังคิดจะจัดการหรงจิ่วต่อไป แต่ในวันที่นางสวรรคตนั้น จักรพรรดิจยาเหวินโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก นางจึงลงมือไม่สะดวก แล้วต้องหยุดแผนเอาไว้
ใครจะคิดเล่าว่าหรงจิ่วจะอาสาไปฝึกฝนฝีมือที่ซีเป่ยด้วยตนเอง พื้นที่ที่ห่างไกล หลายพันลี้ นางนึกถึงชายแดนที่กันดาร จะเป็นหรือตายนั้นคาดเดาได้ยาก บางทีหรงจิ่วอาจจะตายที่นั่นเองก็ได้ นางจึงค่อยๆ ปล่อยวางเรื่องนี้ลง
ต่อมาหลังจากที่หรงจิ่วประสบความสำเร็จในกองทัพซีเป่ย เขาที่มีตำแหน่งสูงเช่นนั้น หากนางคิดจะลงมืออีกก็เป็นไปได้ยากแล้ว
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะมาแก้แค้นข้า!
เมื่ออยู่ตรงหน้าคำกล่าวโทษของจักรพรรดินี แต่กลับกันหรงจิ่วกลับไม่ได้สนใจมันเลย
“ดูเหมือนท่านจะไม่ยินดี มอบของมาให้ข้าสินะ เช่นนั้น…ข้าจะกลับไปกราบทูลเสด็จพ่อ”
เมื่อพูดจบเขาก็หมุนกายเดินจากมาทันที
จักรพรรดินีชะงักกึก
เดิมทีนางคิดว่าหรงจิ่วจะมาสอบสวนนางอย่างหนัก แต่คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนั้น?”
ความจริงแล้ว หรงจิ่วเองก็มีความคิดอย่างหนึ่งเหมือนกัน
จักรพรรดินีอมความลับมานานขนาดนี้ และไม่ยอมเปิดเผยสักส่วน เห็นได้ชัดว่านางเตรียมตัวตายเอาไว้แล้ว
ต่อให้เขาสอบสวนนางอยู่ทั้งวัน หรือทรมานนางจนอยู่ไม่สู้ตาย นางก็ไม่ปริปากพูดสักคำ
จุดอ่อนของจักรพรรดินีมีเพียงอย่างเดียว…หรงจิ้น
“อ่า…จริงสิ หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว ข้าจะขอร้องให้เสด็จพี่มาเยี่ยมท่านนะ…การพบกันของสองแม่ลูก ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อคงจะไม่ใจร้ายใจดำนักหรอก”
ให้พวกเขาได้เห็นสภาพปัจจุบันของนาง แบบนั้นจะต้องสนุกมากขึ้นอีกแน่นอนเลย
จักรพรรดินีไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ ที่ม่านบังตาที่อยู่ด้านข้าง
หรงจิ่วชะงักฝีเท้ากึก สายตาคมกริบเหมือนมีดพุ่งตรงไปที่ทิศนั้นทันที
“ใคร?”