ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 390 เคยเจอมาก่อน
ตอนที่ 390 เคยเจอมาก่อน [รีไรท์]
ไม่มีเสียงใครตอบ
หรงจิ่วขมวดคิ้วแน่น จ้องมุมนั้นอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปทางม่านบังตา
จักรพรรดินีถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่มันเป็นเวลาหลายวันแล้ว ด้านนอกมีทหารยามคุมเข้ม ไม่มีทางที่คนนอกจะเข้ามาที่นี่ได้
“ตึก”
“ตึก”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นในตำหนักที่เงียบเชียบ ทำให้คนที่ซ่อนอยู่แทบจะหายใจไม่ออก
ในขณะที่หรงจิ่วกำลังจะเดินเข้าไป จากนั้นก็มีนกแก้วตัวหนึ่งบินออกไป
หรงจิ่วรีบลงมือทันที
เขาควบรวมปราณจนกลายเป็นลูกธนูที่แหลมคมดอกหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ยิงทะลุท้องนกแก้วตัวนั้นทันที
“ฉึก”
เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่วบริเวณ
นกแก้วตัวนั้นหล่นลงไปที่พื้นทันที ร่างกายของมันกระตุกสองครั้ง จากนั้นก็หยุดนิ่งไป
หรงจิ่วขมวดคิ้วแน่น
เขาจำนกแก้วตัวนี้ได้ นี่เป็นสัตว์ที่จักรพรรดินีเลี้ยงเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าในตำหนักแห่งนี้ ยังมีของแบบนี้หลงเหลืออยู่
ตอนนั้นเองหรงจิ่วก็หรี่ตาลง คาดไม่ถึงว่าจะมีอันใดบางอย่างซ่อนอยู่ที่ท้องของนกแก้วตัวนี้
เขาโน้มตัวลงไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียด จากนั้นเขาก็หยิบของสิ่งนั้นออกมา มันคือลูกกลมๆ สีดำลูกหนึ่ง
ของสิ่งนี้มีขนาดเท่าเล็บมือ ดูเหมือนเป็นของธรรมดาอย่างมาก
แต่สีหน้าของหรงจิ่วค่อยๆ มืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าเขาจำลูกกลมๆ ลูกนี้ได้
ของสิ่งนี้เรียกว่า “ไข่มุกหมึก” มันดูเหมือนเป็นแค่ไข่มุกธรรมดา แต่ความจริงแล้ว นี่มันสามารถใช้ส่งสารได้
ขอเพียงแค่สามารถถอดรหัสด้วยวิธีพิเศษ ก็สามารถรับรู้ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้
ตอนที่เขาอยู่ที่กองทัพ เขาก็เคยใช้วิธีแบบนี้มาแล้ว
แต่เพราะว่าของชิ้นนี้มันหายากมาก อีกทั้งไข่มุกหมึกหนึ่งเม็ดสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาก็เลยไม่ค่อยได้ใช้มันนัก
คิดไม่ถึงว่าในนกแก้วที่จักรพรรดินีเลี้ยงไว้ จะมีของแบบนี้ซ่อนอยู่
แค่เท่านี้ มองดูครั้งเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว!
เขามองไปที่จักรพรรดินี และเห็นใบหน้าซีดเผือดของนาง เหมือนว่านางกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แล้ว
“คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดินีจะใช้วิธีการเช่นนี้ด้วย ท่านวางใจเถอะ ข้าจะมอบไข่มุกหมึกลูกนี้แก่เสด็จพ่อ และตรวจดูมันจนละเอียดเชียวล่ะ”
เมื่อพูดจบ หรงจิ่วก็ไม่ต้องรั้งรออยู่ที่นี่อีกต่อไป เขารีบสาวเท้าออกจากตำหนักโดยเร็ว
หลังจากนั้น จักรพรรดินีค่อยๆ เอามือมากุมใบหน้าของตนเองไว้
นางไม่มีน้ำตาเหลือให้ร้องไห้แล้ว เหลือเพียงความเจ็บปวดที่แสนสาหัสเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงที่แผ่วเบาก็ลอยเข้าสู่โสตประสาทของนาง
“จักรพรรดินี ซิงเฉินยินดีช่วยท่าน หากท่านต้องการสั่งสิ่งใด ได้โปรดสั่งการมาได้เลย”
…
ตำหนักองค์ชายหลี
หรงซิ่วมองฟ้าที่มืดลง ดวงตาดุจเหยี่ยวค่อยๆ หรี่ตาลง
หลายวันผ่านมานี้ ทุกๆ ยามนี้ เยว่เอ๋อร์จะมาหาเขาที่จวนอ๋อง แต่วันนี้ไม่รู้เหตุใดนางถึงยังไม่มาอีก
อวี๋มั่วที่ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างก็คล้ายจะเดาความคิดของเขาได้ จึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“นายท่าน วันนี้คุณหนูฉู่ไปหาท่านรองแม่ทัพมู่ คาดว่าน่าจะมีเรื่องนิดหน่อย จึงทำให้ล่าช้าเช่นนี้”
“เขาจะมีอันใด…”
หรงซิ่วพูดขึ้นเสียงเรียบ จากนั้นก็หยุดชะงักไป
ไม่สิ
“วันนี้มู่ชิงเห่ออยู่ที่จวนหรือไม่?”
อวี๋มั่วชะงักไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…บ่าวไม่ทราบ”
มู่ชิงเห่อไม่ใช่คนธรรมดา หากคิดจะจับตามองเขา นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก
อีกทั้งสองสามวันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนเขาจะระวังตัวมากกว่าเดิมอวี๋มั่วกลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงส่งให้คนที่ลอบติดตามถอนกำลังออกครึ่งหนึ่ง
ใบหน้าของหรงซิ่วแข็งค้าง แล้วลุกขึ้นยืนทันที
“รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ว่ามู่ชิงเห่ออยู่ที่ใด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหรงซิ่ว อวี๋มั่วก็ขานรับทันที…หรือว่านายท่านสงสัยว่ามู่ชิงเห่อจะพาตัวคุณหนูฉู่ไป?
“นายท่าน คนที่ประตูเมืองก็เป็นคนของเรา หากมีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาต้องส่งข่าวมาอย่างแน่นอน…”
“ถ้ามู่ชิงเห่อไม่อยากให้พวกเขารู้ เขาต้องมีวิธีแน่นอน”
น้ำเสียงของหรงซิ่วเย็นชาอย่างมาก แววตาของเขาเหมือนจะแผ่ไอเย็นออกมาด้วย
อวี๋มั่วชะงักไปทันที
“…บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นหรงซิ่วที่เพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็หยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน เขาเงยหน้ามองขึ้นกลางท้องฟ้าทันที
อวี๋มั่วที่เดินตามเขาไปอย่างสงสัย เขากลับเห็นเงาร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง
เขาเดินอยู่กลางอากาศ ท่าทางเหมือนจะสุขุมและเนิบนาบอย่างมาก แต่ความจริงแล้วนั้นเร็วมาก
แค่เวลาชั่วพริบตาเดียว เขาก็เข้ามาใกล้เหนือจวนอ๋องแล้ว
อวี๋มั่วก้าวขึ้นไปด้านหน้า แต่กลับเห็นว่าหรงซิ่วจับแขนของเขาเอาไว้
เขาจึงถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม แต่ดวงตายังจ้องที่คนคนนั้นเขม็งเช่นเดิม
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้ที่มาเยือนก็หยุดเช่นกัน
เจี่ยนเฟิงฉือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมมองลงมาด้านล่างด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีเขาคิดว่าตำหนักองค์ชายหลีเป็นเพียงจวนอ๋องธรรมดาๆ แต่หลังจากที่มาเยือนแล้ว เขากลับพบว่า ที่นี่มีทหารที่เฝ้าอยู่ทั้งด้านนอกด้านในล้วนแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
หากคนธรรมดามองจากภายนอก ไม่มีทางที่จะมองออกเลย
แต่คนอย่างเขามีสายตาระดับไหนกัน ตอนที่เพิ่งเข้าใกล้บริเวณนี้เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงปราณที่ไม่ธรรมดาได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าตามตรอก และเลือกเข้ามาโดยวิธีอื่นแทน
เมื่อมองจากบนฟ้าแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถยืนยันในสิ่งที่เขาคิดได้แล้ว…ในตำหนักองค์ชายหลีที่ใหญ่โตแห่งนี้ นอกจากจะมีการป้องกันที่แน่นหนาแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะซ่อนค่ายกลที่แข็งแกร่งระดับนี้อยู่
เขาแน่ใจแล้ว หากเขาเดินต่อไปมากกว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว สิ่งที่รอเขาอยู่…จะเป็นปัญหาขนาดไม่เล็กเลย
สิ่งที่เจี่ยนเฟิงฉือเกลียดมากที่สุดก็คือ ปัญหา ดังนั้นเขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้นอย่างมีสติ
ไม่ว่าอย่างใดที่เขามาวันนี้ ก็เพื่อมาดูหน้าหรงซิ่วผู้นั้น ว่าตรงตามข่าวลือหรือไม่? และหน้าตาเป็นอย่างใดกันแน่?
แต่ตอนนี้เขายืนอยู่กลางท้องฟ้า เอามือข้างหนึ่งไขว้หลังพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าน้อยมีนามว่าเจี่ยนเฟิงฉือ มาเพื่อคารวะองค์ชายหลีโดยเฉพาะ”
ร่างกายของอวี๋มั่วตึงเครียดขึ้นมาทันที
เจี่ยนเฟิงฉือ?
คนผู้นั้นคือหมอเทวดาที่มู่ชิงเห่อเชิญมาจากราชวงศ์เทียนลิ่งไม่ใช่หรือ?
ก่อนหน้านี้ที่เขารักษาพระชายาผิงเจียงจนหายดีนั้น ก็ทำเอาเมืองหลวงเกิดความโกลาหลกันยกใหญ่
มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามหาทางจะขอพบเขา แต่เจี่ยนเฟิงฉือผู้นี้นั้นเย่อหยิ่งอย่างมาก เขาปฏิเสธทั้งหมด ไม่ให้เข้าพบเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ ในเมื่อเขาเป็นหมอเทวดา เป็นธรรมดามากที่เขาจะหยิ่งผยอง
แต่เรื่องที่ทำให้คนตกใจมากกว่านั้น ทุกคนขนานนามเขาคือเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง* มีคนมากมายรอจะได้เจอหน้าเขา แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา
ไม่รู้ว่าเหตุใดคนแบบนี้ถึงโผล่มาที่ตำหนักองค์ชายหลีของพวกเขาได้? แล้วยังบอกอีกว่าต้องการพบนายท่านของพวกเขา?
ทันทีที่เจี่ยนเฟิงฉือพูดจบ เขาก็หรี่ตามองอย่างสงสัย
กลางลานของจวนแห่งนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่
อายุน่าจะไม่เกินสิบเจ็ด สิบแปด ชุดสีขาวหิมะ ที่ดูดีกว่าหิมะบนเทือกเขาสามส่วน
แค่เขายืนอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนเป็นจุดรวมสายตาและแสงทั้งหมด ทำให้คนอื่นๆ ต้องมองไปทางเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
รูปลักษณ์ของหรงซิ่วเป็นหนึ่งไม่มีสอง โดดเด่นที่สุดในโลกหล้า
เจี่ยนเฟิงฉือรู้ว่าหน้าตาของหรงซิ่วนั้นย่อมต้องอยู่ในอันดับสูง แต่เมื่อตอนที่เขาเห็นชายหนุ่มสวมชุดขาวที่อยู่ตรงหน้า ในใจเขากลับเข้าใจได้ทันที ว่าอันใดที่เรียกว่า ละอายที่ไม่อาจเปรียบเทียบสู้ด้วยได้
ในตอนนั้นเอง เขาก็เข้าใจคำพูดของมู่หงอวี่แล้ว
อย่าพูดแต่ในแคว้นเย่าเฉินเลย ต่อให้รวมราชวงศ์เที่ยนลิ่งไปด้วย หน้าตาของเจ้าเด็กคนนี้ ก็แทบจะไม่มีใครมาเทียบเคียงได้
ต่อให้เป็นเจียงอวี่เฉิง…ก็ต้องตกรอบทันที
น้ำเสียงของหรงซิ่วเย็นชาอย่างมาก เขาพูดเสียงเบาว่า
“ไม่ทราบว่าคุณชายเจี่ยนมาหาข้า มีธุระอันใดหรือ?”
ทันใดนั้นเจี่ยนเฟิงฉือหรี่ตา
“องค์ชายหลี พวกเราเจอกันมาก่อนหรือไม่?”
เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง แปลว่า ผู้ที่ทำตัวลึกลับ