ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 391 นางนั่นเอง
ตอนที่ 391 นางนั่นเอง! [รีไรท์]
เจี่ยนเฟิงฉือเองก็ไม่รู้ตัว เขามีความคิดแบบนี้ได้อย่างใด?
แต่เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าของหรงซิ่วมาก่อน แต่…ตอนที่หรงซิ่วเปล่งเสียงออกมา
ด้วยท่าทางที่อ่อนโยน มีอำนาจ และดูเกียจคร้านอยู่บางส่วน ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงโพล่งถามออกไปอย่างกะทันหัน
รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและห่างเหินก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหรงซิ่ว
“คุณชายเจี่ยนจะเคยเห็นข้ามาจากที่ใดกัน? ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่เทียนซานหมิงเยว่มาโดยตลอด เพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง อีกทั้งยังอยู่อย่างสันโดษมาโดยตลอด ข้าคิดว่าข้าไม่เคยเจอคุณชายเจี่ยนมาก่อนเลยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจี่ยนเฟิงฉือก็รู้สึกลังเลขึ้นเล็กน้อย
หรือว่าเขาจะจำผิดไป?
แต่ว่าเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นคนแบบนั้น เขาสามารถจดจำได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว อีกทั้งเขาสามารถจำรายละเอียดของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
ไม่ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนหนึ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน
…ฉู่หลิวเยว่!
แต่นั่นเป็นเพราะฉู่หลิวเยว่มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับคนผู้นั้นมาก เขาจะรู้สึกคุ้นเคยก็ไม่แปลก
แต่มู่ชิงเห่อไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอกหรือ?
แม้กระทั่งปีศาจแดงก็ยังปฏิบัติตัวต่อฉู่หลิวเยว่ต่างจากคนอื่น
แต่หรงซิ่วไม่ใช่
เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านี้มาก่อนเลย…
แต่ปราณเหล่านั้น…
“ฮ่าๆ ข้าอาจจะจำผิดไปเอง แต่ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นับว่าข้ามีวาสนาต่อองค์ชายหลีไม่น้อยเลยทีเดียว”
เจี่ยนเฟิงฉือพูดไปก็ลอบถอนหายใจไป
ในเมืองหลวงมีคนที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เหตุใดเขาถึงไม่สังเกตเห็นเลยนะ!
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าคนในแคว้นเย่าเฉิน ก็รู้เพียงแค่หรงซิ่วเป็นเพียงเด็กขี้โรคที่วันๆ อยู่แต่ในจวนเท่านั้น
องค์ชายหลีท่านนี้ ซ่อนตัวเองไว้ได้ลึกพอสมควรเลย
“ที่ข้ามาในวันนี้ ไม่ได้มีเรื่องอื่นใด เพียงแต่ได้ยินมู่หงอวี่หลุดปากพูดอย่างไม่ตั้งใจ ข้าจึงเกิดความสงสัย จึงมาหาท่านโดยเฉพาะ แล้วอีกอย่าง…อยากจะมาดูหน้าว่าที่สามีของฉู่หลิวเยว่ให้ชัดเจน ว่าเป็นคนอย่างใดกันแน่?”
คำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือล้วนตรงไปตรงมา ซึ่งดูแล้วอาจจะเป็นการยั่วโมโหไปสักหน่อย
แต่ด้วยสถานะของเขา คำพูดนี้เหมือนว่าจะไม่มีอันใดผิดปกติ
ขนาดจักรพรรดิจยาเหวินยังต้องให้ความเกรงใจเขาสามส่วน
เมื่อหรงซิ่วได้ยินเขาพูดถึงฉู่หลิวเยว่ แววตาของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
“วันนี้เยว่เอ๋อร์ไปที่จวนรองแม่ทัพมู่ หากคุณชายเจี่ยนอยากเจอข้า ก็ให้เยว่เอ๋อร์มาบอกข้าก็ได้ ข้าจะเชิญให้คุณชายเจี่ยนมาเป็นแขกของตำหนักองค์ชายหลีอย่างสมเกียรติ หากมาเช่นนี้ เกรงว่าตำหนักองค์ชายหลีอาจจะต้อนรับท่านได้ไม่ดีพอ”
เจี่ยนเฟิงฉือหัวเราะขึ้นมา
“ข้าไม่ชอบสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่น เรื่องเล็กแค่นี้ ข้ามาเองก็ได้ ไม่ว่าอย่างใดวันนี้นางก็คงไม่มีเวลาว่างหรอก”
หัวใจของหรงซิ่วกระตุกไปหนึ่งครั้ง
“หา?”
จู่ๆ เหมือนว่าเจี่ยนเฟิงฉือจะนึกอันใดออก เขามองมาที่หรงซิ่ว ที่มีใบหน้าแข็งค้างเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองมุมปากของเขาก็เหยียดเป็นรอยยิ้มลึกขึ้น และดูมีความชั่วร้ายอยู่หลายส่วน
“ที่แท้องค์ชายหลีก็กำลังหลอกถามข้าอยู่นั่นเอง”
สีหน้าของหรงซิ่วยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เจี่ยนเฟิงฉือเป็นคนฉลาด ทักษะแค่นี้ไม่สามารถหลบสายตาของเขาได้หรอก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อไป
“เช่นนั้นคุณชายเจี่ยนโปรดบอกข้าด้วยว่าตอนนี้เยว์เอ๋อร์อยู่ที่ใด?”
…
หรงจิ่วกลับมาที่ห้องทรงอักษรอีกครั้ง และมอบไข่มุกหมึกเม็ดนั้นให้กับจักรพรรดิจยาเหวิน
จักรพรรดิจยาเหวินมองไข่มุกหมึกเม็ดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า
“เจ้ารู้วิธีถอดรหัสของของสิ่งนี้หรือไม่?”
หรงจิ่วชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า
“วิธีถอดรหัสไข่มุกหมึกนี้ มีสองวิธีใหญ่ๆ แต่ลูกลองมาแล้วมันกลับไม่ได้ผล”
แค่คิดก็รู้แล้ว ด้านในนี้ต้องซ่อนความลับที่น่าตกใจของจักรพรรดินีเอาไว้แน่นอน
หากมันสามารถเปิดออกมาได้ ทางจักรพรรดินีจะต้องแพ้ภัยตัวเอง
แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาพูดว่าไข่มุกหมึกเม็ดนี้ ไม่ใช่ไข่มุกหมึกธรรมดาๆ เขาไม่มีทางถอดรหัสของของสิ่งนี้ออกได้เลย
“บนไข่มุกหมึกเม็ดนี้ เหมือนว่าจะมีผนึกพิเศษอยู่อีกหนึ่งชั้น ลูกไร้ความสามารถ จึงเปิดมันออกมาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจยาเหวินจ้องไปที่ไข่มุกหมึกอย่างครุ่นคิด
“แม้กระทั่งเจ้ายังไร้ความสามารถ…เกรงว่าจะต้องลำบากแล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หรงจิ่วที่อยู่ในกองทัพมาหลายปีน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ดีที่สุดแท้ๆ
แต่ตอนนี้เขาก็ยังทำอันใดไม่ได้ แล้วนับประสาอันใดกับคนอื่นเล่า?
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของจักรพรรดิจยาเหวิน หรงจิ่วครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วกล่าวขึ้นมาว่า
“เจ้าสำนักเยี่ยของสำนักเทียนลู่นั่นมีความรู้ความสามารถมาก เขาอาจจะมีวิธีก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจยาเหวินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะต้องรอบคอบไว้ก่อน ทางเจ้าก็ต้องระวังให้ดี อย่าให้ข่าวรั่วไหลไปได้อย่างเด็ดขาด”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่วรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับจักรพรรดินีและองค์รัชทายาท ที่เสด็จพ่อจะต้องรอบคอบนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง
แต่นี่มันไม่ระวังเกินไปหน่อยหรือ?
ผู้อาวุโสเยี่ยเป็นคนแบบใด แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เขารู้หรือ?
ราวกับว่า…กำลังหวาดกลัวสิ่งใด
แต่หรงจิ่วเองก็เป็นคนฉลาด ในเมื่อเขาอ่านความคิดของจักรพรรดิจยาเหวินออก แต่เขาก็ยังคงทำตามน้ำไปเรื่อยๆ
เจ้าออกไปก่อนเถอะ
จักรพรรดิจยาเหวินเก็บไข่มุกเม็ดนั้นขึ้น เอนตัวพิงเก้าอี้ พร้อมโบกมือไล่อย่างเหนื่อยล้า
หรงจิ่วรู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาอยากจะเอาไข่มุกเม็ดนั้นมาศึกษาให้ละเอียด แต่สุดท้ายเขาก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
…
หลังจากออกมาจากวังหลวงแล้ว หรงจิ่วก็ยังคิดถึงไข่มุกเม็ดนั้นอยู่
เหมือนว่าท่านพ่อจะให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้มาก แต่เขาก็ไม่สามารถปลดผนึกมันได้ด้วยตัวเอง แบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดไม่ใช่หรือ?
หรือว่า…เสด็จพ่อมีหนทางอื่น?
ยิ่งหรงจิ่วคิด ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
ตั้งแต่เรื่องที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง ปฏิกิริยาของเสด็จพ่อก็ดูแปลกๆ มาโดยตลอด
เหมือนกับว่าเขารู้อันใดบางอย่าง แต่เขากลับปิดเป็นความลับมาตลอด และสั่งให้พวกเขาสอบสวนจักรพรรดินีไปเท่านั้น
และตอนนี้ไข่มุกหมึกเม็ดนี้ปรากฏตัวขึ้นมา กลับยิ่งชัดเจน
หรงจิ่วที่กำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าด้านหน้ามีคนตรงเข้ามาหาเขา เขาจึงอดเหลือบตาขึ้นไปมองไม่ได้
คนที่มาใหม่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าส่วนใหญ่ของนางถูกปิดคลุมด้วยผ้าสีขาว
หรงจิ่วลอบขมวดคิ้วในใจ
คนผู้นี้คือ ฉู่เซียนหมิ่น?
นางมาหาเขาหรือ?
ฉู่เซียนหมิ่นมาหยุดที่ด้านหน้าของเขาประมาณสามก้าว จากนั้นก็คำนับด้วยความเคารพ
“คารวะองค์ชายสาม”
“ฉู่เซียนหมิ่น? เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
แม้ว่าหรงจิ่วจะไม่ค่อยสนิทกับฉู่เซียนหมิ่น แต่ตอนที่เขากลับมาอยู่เมืองหลวง เขาก็ได้ยินเรื่องราวของนางมาไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะเรื่อง…ที่นางเป็นสนมของหรงจิ้น
“เซียนหมิ่นมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ต้องการคุยกับองค์ชายสาม”
หรงจิ่วขมวดคิ้ว
ฉู่เซียนหมิ่นอยากจะคุยกับเขาเรื่องอันใด?
หรือว่า…
“หากเจ้ามาเพื่อจะขอร้องแทนองค์รัชทายาท เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปได้เลย”
ฉู่เซียนหมิ่นส่ายหน้าเบาๆ
“องค์ชายสามเข้าใจผิดแล้ว แม้ว่าฉู่เซียนหมิ่นจะเป็นคนของรัชทายาท แต่ก็รู้หนักเบา ที่ข้ามาวันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะมาบอก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของเซียนหมิ่นมานานมากแล้ว แต่คิดไปคิดมา คิดว่าบอกท่านน่าจะเป็นการดีที่สุด”
ลางสังหรณ์ในใจของหรงจิ่วเริ่มทำงานอย่างหนัก
“แต่เซียนหมิ่นมีเรื่องจะขอร้องเพื่อเรื่องเดียว เรื่องนี้ท่านห้ามบอกให้ใครรู้เด็ดขาดว่าข้าเป็นคนบอกท่าน” ฉู่เซียนหมิ่นกระชับผ้าในมือของตัวเองแน่นขึ้น ราวกับว่าลังเลอย่างหนัก
หรงจิ่วจึงกล่าวว่า
“ได้ เจ้ารีบพูดมาเถอะ”
ฉู่เซียนหมิ่นลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็ลดเสียงพร้อมพูดว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินองค์รัชทายาทกับองค์หญิงใหญ่ซือถูปรึกษากัน บอกว่าองค์รัชทายาทจะให้นางช่วย ให้นางไปเข้าพบจักรพรรดินี …น่าจะ ภายในหนึ่งหรือสองวันนี้”
หรงจิ่วชะงักไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเสียงที่ดังขึ้นในตำหนักของจักรพรรดินี