ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 393 ตกที่นั่งลำบาก
ตอนที่ 393 ตกที่นั่งลำบาก [รีไรท์]
ร่างของฉู่หลิวเยว่ร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ รอบตัวนางนั้นมืดสนิท จนมองไม่เห็นอันใดสักอย่าง และมีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเข้ามาในรูหูของนางเท่านั้น
นางพยายามใช้พลังปราณของตัวเอง แต่กลับพบว่าพลังในกายนั้น เริ่มชะลอตัวราวกับถูกบางสิ่งระงับไว้ การหมุนเวียนของพลังปราณในร่างของนางไหลเวียนช้ากว่าปกติมาก
ชั้นอากาศโดยรอบขยายตัวหนาขึ้นและหนาขึ้น เสมือนกำลังตกลงไปในหนองน้ำ ทว่าไม่นานความเร็วในการร่วงหล่นของของนางก็ค่อยๆ ช้าลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด แต่ในที่สุดนางก็ตกลงบนพื้นแข็งๆ ด้านล่าง
นางหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ พลางตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของนางเย็นยะเยือก และให้ความรู้สึกเรียบลื่นราวกับว่ามันถูกปูด้วยแผ่นหยก
ริมฝีปากบางสวยเม้มแน่น
ที่นี่ไม่มีแหล่งกำเนิดแสง และนางก็ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด
ต้องคิดหาวิธีเอาตัวรอดแล้ว
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกอันใดบางอย่างได้ แล้วยกมือขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น ดอกไม้ไฟสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ!
ทว่ายังไม่ทันจะได้ยกยิ้มอย่างภูมิใจ เปลวไฟสีแดงสวยก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
พื้นที่โดยรอบกลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
นางเกือบจะลืมไปเลยว่า โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกใช้พลังปราณที่นี่ และแน่นอนว่านางไม่สามารถดึงพลังมาแปลเปลี่ยนเป็นเปลวไฟได้
นางยืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งโดยไม่ได้ขยับเท้าก้าวไปไหน เพียงแต่เงี่ยหูและฟังการเคลื่อนไหวรอบๆ ตัวอย่างระมัดระวัง
“ติ๋ง”
“ติ๋ง”
ก็มีเสียงน้ำหยดดังเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่พลันหันมองไปยังที่มาของเสียงโดยไม่รู้ตัว
แม้จะมองไม่เห็นอันใดเลย แต่เสียงของน้ำก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าครู่ต่อมา หัวใจของนางกลับต้องเต้นระรัวอย่างหวาดหวั่นอีกครั้ง
นางตกลงมานานแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เห็นมู่ชิงเห่อกัน!?
นางจำได้ดีว่าตอนที่ร่วงลงมานั้น มู่ชิงเห่อเองก็กระโดดตามลงมาติดๆ
แล้วตอนนี้…เขาหายไปไหนแล้วล่ะ!?
ที่แปลกไปกว่านั้นคือ ภายใต้ยอดเขาซีจินแห่งนี้ มีสุสานจักรพรรดิแห่งแคว้นเย่าเฉินซ่อนอยู่ ทว่าในสุสานของจักรพรรดิจะมีเสียงน้ำไหลได้อย่างใด!?
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังครุ่นคิด ก็รู้สึกได้ว่าไหล่ของนางมันหนักๆ พลันเหลือบไปเห็นถวนจื่อที่ปรากฏกายขึ้น
แต่ท่าทางของมันดูต่างจากเมื่อก่อน เจ้าถวนจื่อในเวลานี้ดูประหม่าเล็กน้อย มันทรุดตัวลงบนบ่าของ นาง โดยไม่คิดจะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นอารมณ์ของมัน และรู้สึกแปลกๆ ในใจ
แต่ไหนแต่ไรถวนจื่อกล้าหาญอยู่เสมอ แม้แต่ตอนเผชิญหน้ากับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา สัตว์อสูรระดับเจ็ด มันก็ยังยืดอกสู้ไม่ถอย อีกทั้งยังกล้าด่าอินทรีสามตาว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานด้วย มันไม่เคยกลัวเลย แต่คราวนี้เกิดอันใดขึ้นกับมันกัน?
ฉู่หลิวเยว่ลูบหัวมันเบาๆ แต่เจ้าถวนจื่อกลับคว้าเสื้อนางไว้ แล้วกอดนางแน่นยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็คิดแผนการขึ้นมาได้
ทว่าทันทีที่นางคิดเกี่ยวกับมัน จู่ๆ ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ
มันคือ หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์
เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือนางนี้มีขนาดเล็กและประณีตอย่างมาก
และภายในนั้น ก็มีเพลิงแห่งกรรมที่โปร่งใสกำลังลุกไหม้อยู่!
แต่จุดกลางของเปลวไฟ กลับมีเงาดำบางอย่างปรากฏขึ้น
นั่นคือ วิญญาณของอินทรีสามตา
พลันบริเวณโดยรอบก็สว่างไสวด้วยเปลวไฟทันที
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่โค้งขึ้นทันตา
“มีประโยนช์จริงๆ!”
การที่หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์สามารถปราบพยศอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น จะต้องมีพลังที่แกร่งกล้าอย่างมาก ฉู่หลิวเยว่จึงคิดว่าบางที่เพลิงแห่งกรรมที่อยู่ข้างในหม้อน้ำ อาจจะสามารถต่อต้านสิ่งที่กำลังข่มพลังของนางที่นี่ได้ด้วย
และเป็นไปตามคาด!
เพียงพริบตา อินทรีสามตาก็ส่งเสียงร้องโหวกเหวกออกมา
“เจ้า นี่เจ้าใช้เพลิงในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์แทนดวงไฟอย่างนั้นหรือ!?”
เสียงของมันสั่นเครือด้วยความตกอกตกใจ
มันคิดไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ออกมาจากตำแหน่งตันเถียนของฉู่หลิวเยว่อย่างเป็นทางการ และเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ!
นี่ฉู่หลิวเยว่รู้จริงๆ หรือว่า ความจริงแล้วหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั้นมีไว้เพื่ออันใด!?
“ถูกต้อง! ข้าจะใช้มันให้คุ้มค่าเลย!”
ฉู่หลิวเยว่กลับไม่ได้สนใจ เสียงของนางตอบกลับมาอย่างเร็ว
อินทรีสามตา “…”
นางเมินเจ้าสัตว์อสูรและมองไปรอบๆ
บริเวณโดยรอบนั้นว่างเปล่าและไม่มีอันใดเลย
ทว่าพื้นดินที่นางกำลังเหยียบอยู่นั้น…ถูกปูด้วยหยกสีน้ำเงินและสีขาว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเล็กน้อย
หยกสีน้ำเงินและสีขาวมีค่ามาก แต่มันถูกใช้เพื่อปูพื้นดินที่นี่ และเมื่อเงยหน้าดู ก็จะเห็นว่าหยกเหล่านั้นแผ่ขยายตัวออกไปมากกว่าพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้เสียอีก
เพียงแค่ราคาของลายหยกเหล่านี้ ก็มีมูลค่ามากกว่าเมืองทั้งเมืองแล้ว
แคว้นเย่าเฉินใช้ทรัพยากรทางการเงินเกือบทั้งหมด เพื่อสร้างสุสานของจักรพรรดิแห่งนี้ ช่างเล่นใหญ่อลังการเกินใครเสียจริง
แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าจริงๆ แล้วข้างในเป็นอย่างใด…
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของการอัญเชิญอย่างระมัดระวัง และในที่สุดนางก็เลือกทิศทางที่แน่นอนแล้วเดินไปข้างหน้า
“ติ๋ง”
“ติ๋ง”
“ติ๋ง”
ท่ามกลางความว่างเปล่า เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของฉู่หลิวเยว่ ดังสะท้อนขึ้นมาอย่างชัดเจน
รวมทั้งเสียงน้ำหยดที่ค่อยๆ ดังขึ้นเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่กำหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ไว้แน่น พลางเดินหน้าต่อไป
…
เคร้ง!
เกิดเสียงกระแทกทื่อๆ ดังก้อง ตะบองที่อยู่ในมือของชายชราชุดดำทนความแข็งแกร่งไม่ไหว พลันแตกหักเสียงดัง “เพล้ง”!
เขาโยนตะบองที่หักออกไปด้วยความกังวล พลางมองดูวงแหวนที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งยังคงหมุนอยู่โดยไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย พลันใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
“ผู้อาวุโสจงฉี วงแหวนนี้สร้างขึ้นโดยเหล่าบรรพบุรุษ วัตถุธรรมดาย่อมไม่สามารถเปิดมันได้…”
“ใช่แล้ว! เรามาลองวิธีอื่นกันเถอะ!”
“ไม่สำเร็จหรอก เกรงว่าคงต้องรอให้ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยตนเอง…”
ผลสุดท้าย คนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดออกมาอย่างอดไม่ได้
จงฉีตะโกนอย่างหงุดหงิด
“เรื่องแบบนี้ คนแก่อย่างข้ารู้ดีหน่า!”
เขาเฝ้าปกปักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้มาหลายสิบปี เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจล่ะ!?
ทว่าตอนนี้ หากพวกเขาไม่คิดหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด แล้วพวกเขาจะอธิบายให้ฝ่าบาทฟังอย่างใด!?
ภายใต้การคุ้มกันที่แน่นหนา มีคนบุกเข้าไปในยอดเขาซีจินโดยไม่ได้รับอนุญาต และแม้กระทั่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาและเข้าไปในสุสานจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ!
ให้พวกเขาโดนประหารเสียร้อยครั้ง ก็ยังไม่สาสมแก่ความผิดครั้งนี้เลย!
“พอเลย! อย่างใดเสียก็ต้องรอฝ่าบาทแล้ว ส่วนคนที่นี่ทั้งหมด ก็ต้องได้รับผลจากการสะเพร่าครั้งนี้!”
หลายคนหันมองหน้ากันแล้วเงียบไป
จงฉีจ้องเขม็งไปยังวงแหวนด้วยความโกรธ
“เมื่อครู่ มีใครเห็นใบหน้าของสองคนนั้นหรือเปล่า!?”
คนทั้งหมดเงียบกริบ
จงฉีหลับตาลง
ตอนนั้นเขาเป็นคนที่วิ่งมาถึงเร็วที่สุด แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เห็นเลย แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ?
“ทุกคนมอบหมายให้ข้าดูแลที่นี่อย่างสุดชีวิต ตาแก่ผู้นี้ไม่เชื่อเด็ดขาด! อย่างไรเสีย พวกนั้นก็ยังออกมาไม่ได้!”
…
ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่เบ่งบานเหนือเมืองหลวงของจักรวรรดิ
หรงซิวหรี่ตาลง พลันจิตสังหารอันเย็นชาก็ฉายแวบเข้ามาในดวงตาของเขา!
มู่ชิงเห่อพาเยว่เอ๋อไปที่สุสานจักรพรรดิ!
เสียงทุ้มเอ่ยสั่งทันควัน
“นายน้อยเจี่ยน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปสะสาง สำหรับวันนี้ ข้าจำต้องขออภัย”
พอพูดจบ เขาก็ยกเท้าขึ้นและจากไปทันที
เจี่ยนเฟิงฉือตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เมื่อครู่นี้มัน…สัญญาณอันใดกัน?
ดูท่าแล้วการต่อสู้ครั้งนี้คงจะวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว…
ในใจของเขาตื่นเต้น พลันยกยิ้มมุมปากอย่างอวดดี
“หลี่หวันจะไปยังจุดที่เกิดดอกไม้ไฟสินะ? หากนายน้อยผู้นี้เบื่อแล้วอยากติดตามเจ้าไปเล่า จะเป็นอย่างใดนะ?”
หรงซิวหันกลับไปมองเจี่ยนเฟิงฉือด้วยสายตานิ่งสงบ
ชั่วพริบตา ก็มีจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าใส่เจี่ยนเฟิงฉือด้วยความรวดเร็ว!