ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 421 หายไป
ตอนที่ 421 หายไป [รีไรท์]
ซือถูเหยียนตาโตด้วยความตกใจ
“หรงเซียว นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
จักรพรรดินีนั้นเปรียบเสมือนมารดาของแคว้น และการไว้ทุกข์อย่างยิ่งใหญ่จะจัดขึ้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ของนาง
ส่วนหรงจิ้นที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายของนาง ก็ควรต้องอยู่ไว้ทุกข์ให้นางสามปี!
ถึงแม้จะมีเหตุผลเร่งด่วนอย่างใด แต่อย่างน้อยก็ควรไว้ทุกข์ให้ถึงหนึ่งปีเสียก่อน
แต่นี่อันใดกัน หนึ่งเดือนเองหรือ?
เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับเหยียบหลุมศพจักรพรรดินีแทนปะรำพิธีสมรสเลยสิ!
เขาไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์เลยหรือ ไหนจะชื่อเสียงเกียร์ติยศอีก
หากทำเช่นนี้ทั้งหรงจิ้นและซือถูซิงเฉินจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทันที แม้แต่ชื่อเสียงของราชวงศ์ทั้งหมดแห่งแคว้นเย่าเฉินเองก็จะได้รับผลกระทบด้วย!
“เจ้ามันหน้าไม่อาย แต่ข้าไม่ได้หน้าด้านเช่นเจ้า!”
ในเมื่อเขารู้แล้วว่าหรงจิ้นไม่ใช่บุตรแห่งสวรรค์ที่แท้จริง มีหรือเขาจะยอมทำตามสัญญาสมรสต่อไป
ซือถูซิงเฉินคือไข่มุกล้ำค่าของเขา บุตรสาวที่ภาคภูมิใจและเป็นที่รักยิ่งของเขาแล้วเขาจะให้นางสมรสกับองค์รัชทายาทที่ถูกปลดอย่างหรงจิ้นได้อย่างใด
นั่นไม่ใช่ชีวิตสมรสที่นางควรได้รับ!
เมื่อเห็นซือถูเหยียนโกรธจัด จักรพรรดิจยาเหวินก็ยิ่งได้ใจ
ไอ้เฒ่านี้คิดร้ายกับผู้อื่นก่อน สุดท้ายผลกรรมนั้นก็ย้อนกลับมาหาตัวเอง
ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เขาจะต้องแก้เกมเอาคืนอย่างสาสม
“แต่เดิมเจ้าคือผู้ที่เสนอเรื่องสมรส แต่ตอนนี้เจ้าคิดจะผิดสัญญาหรือ?”
ซือถูเหยียนโกรธเกรี้ยวเสียจนสะเทือนถึงอวัยวะภายใน
“ผิดสัญญาแล้วอย่างใด”
หากพวกเขายกเลิกการงามสมรสหลังจากเพิ่งเกิดเรื่องของหรงจิ้นไปละก็ จักต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังดีกว่าให้ซือถูซิงเฉินอยู่ร่วมกับเขาไปตลอดชีวิต
จักรพรรดิจยาเหวินเอนหลังพิงเก้าอี้
มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน จนส่งผลให้เขาเหนื่อยล้า ทว่ายามนี้เมื่อเห็นซือถูเหยียนกำลังเกรี้ยวกราด เขาก็พลอยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“เรื่องนี้ไม่สามารถต่อรองได้ และสัญญาการสมรสจะยังคงเหมือนเดิม อีกหนึ่งเดือนให้หลังซือถูซิงเฉินจะต้องแต่งงานในเมืองหลวงของข้า เจ้าวางใจได้อย่างใดเสียหรงจิ้นก็เป็นบุตรชายของข้า ส่วนงานสมรสครั้งใหญ่นี้ ข้าจะสั่งให้คนจัดงานให้ยิ่งใหญ่อลังการสมศักดิ์ศรีแน่นอน”
แววตาของซือถูเหยียนหม่นแสงลง จนเขาเกือบจะเป็นลม
“หรงเซียวนี่เจ้า! เจ้า…”
เขาตัดสินใจเก็บซือถูซิงเฉินไว้ที่นี่ จนกว่างานสมรสของนางกับหรงจิ้นจะเสร็จสิ้น
“หรงเซียว อย่าได้ใจไปนัก! เจ้าอย่าคิดว่าแคว้นซิงหลัวของข้ากลัวเจ้านะ” ซือถูเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางสงบสติอารมณ์ลงแล้วพูดด้วยใบหน้ามืดมน
“ผู้อาวุโสจงเยี่ย ยังอยู่ในแค้วนซิงหลัว ถ้าเขารู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้…”
“เจ้ากำลังขู่ผู้ใดอยู่กัน?” พลันสีหน้าเย้ยหยันก็ปรากฏบนใบหน้าของจักรพรรดิจยาเหวิน
“ผู้อาวุโสจงเยี่ยแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่เจ้าคิดว่ามันคุ้มที่เขาจะยอมออกหน้าแทนเจ้าหรือ?”
“เจ้าอย่าลืมนะ ว่าผู้อาวุโสจงเยี่ยเป็นตัวแทนของหมิงเยว่เทียนชาน!” ดวงตาของซือถูเหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“เจ้าพึ่งคนจากหมิงเยว่เทียนชานได้ แล้วคิดหรือว่าพวกข้าจะทำไม่ได้?”
ซือถูเหยียนตกตะลึง และจากนั้นเขาก็จำได้ว่าหรงซิวเองก็เคยไปฝึกตนที่หมิงเยว่เทียนชานมาอยู่หลายปี
แม้ว่าคนนอกจะคิดว่าหรงซิวนั้นเป็นเพียงคนป่วยออดๆ แอดๆ แต่เขาเคยได้ยินซือถูซิงเฉินพูดว่า ร่างกายของหรงซิวนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ลือกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หรงซิวอยู่ที่หมิงเยว่เทียนชานมานานแล้ว ถ้าเขายินดี เขาก็สามารถดึงปรามาจารย์ระดับสูงให้มาช่วยสนับสนุนตนได้ และผู้อาวุโสเหล่านั้นอาจจะมีพลังมากกว่าผู้อาวุโสจงเยี่ยเสียอีก!
ดังนั้นการใช้วิธีนี้คุกคามอีกฝ่ายย่อมไร้ผล
เส้นเลือดสีน้ำเงินแผ่กระจายไปทั่วหน้าผากของซือถูเหยียน
เขาไม่เคยถูกดูหมิ่นและอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน!
“หรงเซียว เจ้าต้องการทำสงครามระหว่างสองแคว้นอย่างนั้นหรือ?”
ซือถูเหยียนพูดเน้นคำต่อคำด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
จักรพรรดิจยาเหวินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะประกบมือไว้หน้าตักและยิ้มบาง
“เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะ ซือถูเหยียน?”
…
“องค์ชาย น้ำชาได้แล้วขอรับ”
“เข้ามา”
แกร่ก…
บานประตูถูกผลักให้เปิดออก จากนั้นเด็กชายในชุดสีเทาก็ก้มโค้งลง และเดินเข้าไปพร้อมกับชา เขาวางชาไว้ข้างๆ อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
หรงจิ่วกำลังลับมีดอยู่
เขามีสมาธิและจริงจังกับในทุกจังหวะของการกระทำ
มีดเล่มนี้เป็นเพียงมีดยาวโบราณธรรมดาๆ แต่เขาก็รักและหวงแหนมันเสมอ
เพราะมันคือมีดที่เขาใช้ฆ่าคนในสนามรบครั้งแรก
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาตัดหัวใครซักคนด้วยมือตัวเอง และในยามที่ใบมีดฟันลงไป ชีวิตของฝ่ายตรงข้ามก็ถูกลิดรอนในทันที
เลือดที่หนืดและคาวกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของเขา
ซึ่งหลังจากการฆ่าครั้งแรก นักรบหลายคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันไป อาจจะคลื่นไส้ อาเจียนหรือฝันร้ายบ้าง
แต่เขาไม่เป็นอันใดเลยและในใจกลับรู้สึกมีความสุขแทน!
หลายปีผ่านไป มีดเล่มนี้ก็ยังคงคมกริบและเปล่งประกาย
“องค์ชายขอรับ หากชาเย็นแล้วจักไม่กลมกล่อมนะ ขอรับ”
คนรับใช้ตัวน้อยเอ่ยเตือนด้วยความเคารพ
หรงจิ่วชะงัก พลันเหลือบมองเขา
“แต่ท่านไม่ต้องรีบก็ได้ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”
หลังจากที่เขาพูดจบ เด็กชายก็ถอยออกไปเงียบๆ แล้วปิดประตู
จากนั้นหรงจิ่วก็เบนสายตาลงมองถ้วยชาตรงหน้า
เขาวางมีดในมือลงข้างตัว และหยิบชาขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ต้นบอนไซ แล้วเทชาทั้งหมดลงไป
จากนั้นเขาก็คลำไปที่ด้านล่างของถ้วยชาแล้วเคาะเบาๆ
พรึบ!
พลันแผ่นกระดาษบางๆ ก็หลุดร่วงลงมา
ปรากฏว่าที่ด้านล่างของถ้วยน้ำชานี้มีสิ่งของเล็กๆ ซ่อนอยู่
แม้ว่ากระดาษจะเล็กมาก แต่ลายมือบนกระดาษนั้นชัดเจนมาก
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว!” หรงจิ่วเต็มไปด้วยความมั่นใจทันทีที่ปลายนิ้วขยับ แผ่นกระดาษก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผง
ก่อนจะปลิวหายไปกับสายลม
…
ช่วงนี้ฉู่หนิงงานยุ่งมากเสียจนไม่มีเวลากลับบ้าน
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักวิชาเช่นกัน นางทำเพียงนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้านเพียงลำพัง
หลังมีข่าวการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดินีและการปลดตำแหน่งขององค์รัชทายาท นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แล้วการที่ซือถูเหยียนมาเยือนนั้น ก็ช่วยยืนยันการคาดเดาของนางที่ว่า
จักรพรรดิจยาเหวินรู้แล้ว ว่าวันนั้นหรงจิ้นและซือถูซิงเฉินแอบตามเขาเข้าไปในสุสานของจักรพรรดิ
เหตุการณ์นี้กลายเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้น และในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็หมดความอดทนตัดสินใจลงมือ และดูเหมือนว่าตระกูลซือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง มีหลายคนถูกไล่ออกจากตำแหน่ง บางคนถูกจำคุก
ซึ่งใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลม จะสามารถเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของจักรพรรดินีอย่างแน่นอน
ตระกูลซือเองก็ไม่ได้ต่อต้านหรือคัดค้านเรื่องนี้ แต่กลับยอมรับทุกอย่างแบบเงียบๆ และเก็บรายละเอียดเอาไว้มิดชิด
ส่งผลให้ตำแหน่งหัวหน้าหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่สั่นคลอน
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่สนใจมากที่สุด
นางเพียงคิดว่ามีเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ อยู่หนึ่งอย่าง
จักรพรรดิจยาเหวินรู้ว่าวันนั้นหรงจิ้นและซือถูซิงเฉินไปที่สุสานของจักรพรรดิ แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนงำบางอย่างที่ผลักดันให้สองคนนั้นไปที่นั่น
ซึ่งต้องเกี่ยวข้องการกับตายของจักรพรรดินีแน่ๆ
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวอันใด
ตรงกันข้ามกับองค์ชายสามอย่าง หรงจิ่วผู้ซึ่งถูกโยนลงอ่างน้ำสกปรกทั้งๆ ที่ตัวเขานั้นสะอาดบริสุทธิ์ และข่าวลือก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินไม่ใช่คนโง่ หากเขาต้องการสอบสวนจริงๆ เขาสามารถค้นพบบางสิ่งได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เขาก็แค่ปล่อยให้ข่าวลือกระจายออกไปเรื่อยๆ…และได้ยินมาว่าหรงจิ่วถูกสั่งกักบริเวณอยู่ในตำหนัก
ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะคิดอย่างใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ล้วนมีแต่คำว่าผิดปกติ อีกทั้งพีระมิดนั่น… แม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นของนางแล้ว แต่นางก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออันใด
ยิ่งคิดก็ยิ่งเต็มไปด้วยปริศนา
จนแล้วจนรอด ฉู่หลิวเยว่ก็ตัดสินใจไปตรอกชีเจี่ยวด้วยตัวเองอีกครั้ง
จักรพรรดินีต้องรู้อันใดบางอย่างแน่ๆ ทว่าตอนนี้นางสิ้นพระชนม์แล้ว และนางไม่สามารถไปถามซือถูซิงเฉินกับหรงจิ้นได้ดังนั้นนางจึงควรสืบสวนด้วยตัวเอง
แต่ทว่าเมื่อนางมาถึงตรอกชีเจี่ยวกลับเห็นซากศพเกลื่อนเต็มไปหมด
ศพพวกนั้นคือองครักษ์ที่เฝ้าดูแลพื้นที่บริเวณนี้
หัวใจของฉู่หลิวเยว่จมดิ่งพลันผลักประตูเข้าไปทันที
หม้อไฟสีชาดที่วางอยู่กลางลานก่อนหน้านี้หายไปแล้ว