ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 428 แลกเปลี่ยน
ตอนที่ 428 แลกเปลี่ยน [รีไรท์]
ค่ายกลที่ใหญ่ยักษ์ส่องแสงประกาย ทั้งพระราชวังโย่วเหก็ถูกแสงระยิบระยับสาดส่องลงมา
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าไปทันทีก็ต้องถูกสังเกตเห็นแน่นอน
แต่ถ้า…หลอมตัวเองให้อยู่ในค่ายกล ก็จะสามารถอำพรางตัวได้
ฉู่หลิวเยว่จ้องค่ายกลนั้นอย่างตั้งใจ ในขณะเดียวกันนิ้วมือก็ขยับนิ้วกลางอากาศเบาๆ ก่อนจะตวัดเป็นรูปร่างคร่าวๆ
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นค่ายกลนี้มาก่อน อีกอย่างยังป็นค่ายกลที่ระดับสูงไม่น้อยอีกด้วย นางจึงไม่สามารถวาดคัดลอกตามค่ายกลนั้นได้เหมือนทุกอย่างได้
แต่นางกลับสามารถแบ่งมันออกได้อย่างง่ายดาย
จู่ๆ ก็มีเสียงที่เล็กแหลมดังขึ้นกลางอากาศ
ตึง!
ทันใดนั้นดอกไม้ไฟก็เบ่งบานในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด
นี่คือสัญญาณเตือน
เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็ต้องดึงดูดความสนใจของทุกคนในวังแน่นอน
ชายชราที่สวมชุดสีเทากำลังคิดว่าจะทำลายค่ายกลได้อย่างใด เมื่อได้ยินเสียงและหันไปมองทันที
เมื่อเขาพบว่ามีสามคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจริงๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเย็นชา
“เหอะ! ดูแล้วเจ้าจะไม่กลัวว่าจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ที่นี่ได้”
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มที่ถูกกระแทกลงพื้นแรงๆ พยายามคลานขึ้นจากพื้นอยากลำบาก ก่อนจะกระอักเลือดออกมา และมือของพวกเขาก็จับกระบองเอาไว้
พลุเมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนจุดเอง
เมื่ออีกสองคนเห็นว่าเป็นแบบนี้แล้วก็สบตากัน และต่างก็เห็นแววตาที่กังวลในสายตาของอีกฝ่าย
พวกเขาพากันวิ่งไปข้างๆ คนคนนั้น ก่อนจะเอ่ยปากอย่างรีบร้อน
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทกำชับว่าอย่างใด เจ้าลืมไปแล้วรึ?”
ในพระราชวังโย่วเหอนี้ ขังซือถูซิงเฉินเอาไว้
ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถึงขั้นเชิญให้พวกเขามารับหน้าที่เฝ้าดูด้วยกัน
แม้แต่จักรพรรดินีที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่ได้รับการคุ้มกันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดฝ่าบาทให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก
ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทได้บอกกำชับพวกเขาอย่างเคร่งครัดแล้วว่า ห้ามให้คนนอกรู้ว่าซือถูซิงเฉินอยู่ที่นี่เด็ดขาด
แต่เมื่อข่าวนี้ถูกแพร่ออกไปแล้ว ทุกคนก็รู้ข่าวนี้กันหมดแล้ว
ไม่ทันได้ผ่านครึ่งชั่วโมง เชื่อว่าปรมาจารย์ในพระราชวังต้องมารวมตัวกันที่นี่แน่นอน
ชายที่กระอักเลือดค่อยๆ เช็ดคราบเลือดที่มุมปากของตัวเอง แล้วจ้องมองชายชราชุดเทาคนนั้น
“ฝ่าบาทก็บอกแล้วว่าขอแค่ให้เฝ้าคนเอาไว้ให้ดี ถ้าคนถูกพาตัวไปแล้ว…พวกเราก็คงจะไม่รอดแน่นอน!”
อีกสองคนมองหน้ากันยืดเยื้อกันอยู่สักพัก ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอันใดอีก ก่อนจะพากันแยกย้ายแล้วล้อมชายชราชุดเทาเอาไว้
ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาจึงสามารถทำได้เพียงพยายามให้ถึงที่สุด
เห็นคนทั้งสามเริ่มมีท่าทีที่จะโจมตีแล้ว ชายชุดเทาคนนั้นก็นิ่งไปสักพัก จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดัง
“ดูแล้วพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพแล้วคงไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ถ้าอย่างงั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ!”
“รั้งเขาเอาไว้!”
ทั้งสามคนนั้นตัดสินใจและพากันกรูเข้าไป
ล้อมกันเป็นวงกลมทันที
ทันใดนั้น
ฉู่หลิวเยว่เก็บงำลมหายใจที่อยู่บนตัว ก่อนจะรีบเข้าไปในพระราชวังโย่วเหอ
ในขณะเดียวกัน ค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ก็ปรากฏขึ้นรอบตัวนาง
เมื่อเทียบขนาดกับค่ายกลขนาดยักษ์นั้นแล้ว ค่ายกลนี้ไม่ได้มีความหมายอันใดเลยสักนิด
แต่ลวดลายและแสงระยิบระยับนั้นกลับสามารถห่อหุ้มฉู่หลิวเยว่ได้อย่างพอดี
ฉู่หลิวเยว่มุ่งไปข้างหน้า ก่อนจะอำพรางตัวเองให้อยู่ในแสงเหล่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือค่ายกลที่นางเลียนแบบออกมานั้น ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เหมือนกับค่ายกลนั้นไม่น้อย และความเหมือนเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ทำให้ค่ายกลนั้นสามารถอำพรางตัวของฉู่หลิวเยว่เข้าไปอยู่ข้างในนั้นได้
ฉู่หลิวเยว่เข้าไปได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทางและมาถึงประตูด้านข้างได้อย่างราบรื่น
เมื่อครู่นี้จักรพรรดิจยาเหวินได้ออกไปในทางที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้
เมื่อนึกแบบนี้แล้วฉู่หลิวเยว่ก็ลักลอบเข้าไปได้อย่างไร้ร่องรอย
การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวนางก็หายตัวไปอยู่ประตูด้านหลังแล้ว โดยไม่ได้ดึงดูดความสนใจของชายชราชุดเทา และองครักษ์อีกสามคน
…
เมื่อเข้ามาอยู่ในพระราชวังแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มออกตามหาที่ซ่อนของซือถูซิงเฉินทันที
แสงสว่างของค่ายกลที่สาดส่องอยู่ข้างนอกนั้น ทำให้มองเห็นทุกอย่างในพระราชวังแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็มองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นเงาของคนเลยสักคน
ห้องโถงใหญ่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างจนทำให้มีชั้นฝุ่นบางๆ เกาะสะสมอยู่บนโต๊ะ
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ
ทันใดนั้น สายตาของนางก็นิ่งไปก่อนจะมองไปยังชั้นหนังสือบนผนัง
ดูผิวเผินแล้วชั้นหนังสือนี้เหมือนจะไม่มีปัญหาอันใด แต่หนังสือที่อยู่บนนั้นกลับถูกวางไว้อย่างยุ่งเหยิง
ต่อให้หรงจิ้นไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก อย่างน้อยทุกสิ่งที่นี่ก็ควรจะจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ฉู่หลิวเยว่เดินไปก่อนจะหาเบาะแสบนชั้นหนังสือนั้น
เมื่อเห็นหินหมึกดำนั้น นางก็ขมวดคิ้วทันที วัสดุที่ใช้ทำหินหมึกนี้ธรรมดามาก การแกะสลักก็ธรรมดา ไม่ได้เหมือนสิ่งที่ควรอยู่พระราชวังแต่อย่างใด
นางยื่นมือไปจับ ก่อนจะลองหมุนดูสักพัก
แคร่ก
จู่ๆ พื้นที่ใต้เท้าขอนางก็ขยับทันที
จากนั้นบันไดที่ทอดลงข้างล่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
ฉู่หลิวเยว่นิ่งไป ก่อนจะกระโดดเข้าไป
นางค่อยๆ เดินลงไปทีละก้าวรอบๆ เต็มไปด้วยความมืดมิดที่ไกลๆ สักระยะหนึ่งถึงจะมีแสงสว่างเล็กน้อย
จากนั้นไม่นานนอกจากนางแล้วก็ไม่มีเงาใครเลยสักคน
ฉู่หลิวเยว่เดินไปข้างหน้าอย่างงุนงง
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าใด ในที่สุดก็มีปากทางออกทางหนึ่ง
พื้นที่ลับปิดตายปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่
…
ซือถูซิงเฉินได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้งก็นึกว่าเป็นจักรพรรดิจยาเหวินไปแล้วกลับมาใหม่ ก่อนจะเงยหน้าพลางเอ่ยปาก
“ข้า…ข้าไม่รู้ต่อให้ท่านถามข้าอีกกี่ครั้ง ข้าก็ไม่รู้อยู่ดี…”
“เจ้าไม่รู้อันใด?”
จู่ๆ เสียงใสแจ๋วของแม่นางก็ดังขึ้น ซือถูซิงเฉินอึ้งในใจ จนเงยหน้ามองขึ้น ถึงแม้ว่าใบหน้าใบนั้นจะมองเห็นได้ไม่ชัด แต่รูปร่างและเสียงนั้นกลับทำให้นางรู้จักคนคนนี้
ฉู่หลิวเยว่!
นางมาที่นี่ได้อย่างใด!
ในหัวของซือถูซิงเฉินยุ่งเหยิงไปหมด ทำได้เพียงกำมือเอาไว้แน่น พร้อมกับมีแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ฉู่หลิวเยว่! เจ้ามาทำอันใด”
ฉู่หลิวเยว่เดินมาทางนี้ด้วยแววตานิ่งเฉย ก่อนจะเหลือบมองซือถูซิงเฉินด้วยสายตาเย็นชา
แววตาของนางนิ่งสงบ แต่ซือถูซิงเฉินกลับรู้สึกว่าทั้งตัวเหมือนถูกเปลือยอย่างใดอย่างนั้นจนรู้สึกน่าอับอาย
“เจ้าเป็นคนฆ่าจักรพรรดินีใช่หรือไม่?”
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยปากถาม
ซือถูซิงเฉินกัดฟันแน่น
“เจ้าพูดบ้าอันใด?”
“หรงจิ้นก็ถูกเจ้าปล่อยตัวออกจากคฤหาสน์รัชทายาทเหมือนกันใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถามอีกครั้ง
“เปล่า…ข้าเปล่าเหตุใด…จักรพรรดิจยาเหวินสั่งให้เจ้ามาถามข้าหรือ”
ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ แววตาที่อาฆาตของซือถูซิงเฉินคงด่าฉู่หลิวเยว่ไปแล้ว
ส่วนแววตาของฉู่หลิวเยว่นั้นไม่เปลี่ยน ราวกับว่าไม่ได้สนใจคำตอบของนาง
“เจ้าได้สิ่งใดมาจากจักรพรรดินี มอบออกมาเถิด”
พูดแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยื่นมือออกไป
ซือถูซิงเฉินเบิกตากว้างโต
ฉู่หลิวเยว่รู้เรื่องนี้ได้อย่างใด!
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา
“ถ้าเจ้าพูดความจริง ข้าจะบอกเจ้าว่าบุตรแห่งสวรรค์ที่แท้จริงคือใคร”