ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 432 ชีหาน
ตอนที่ 432 ชีหาน [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตระหนกขึ้นทันที หรือเขามาปรากฏตัวในตอนนี้ก็เพื่อจะลงมือกับนาง?
ชุดคลุมตัวใหญ่ปกคลุมร่างกายของเขาได้อย่างมิดชิด และใบหน้าของเขาก็ยังมีผ้ามีดำปิดอยู่ด้วย
ตั้งแต่หัวจรดเท้านั้นเขาเผยให้เห็นเพียงตาดำคู่หนึ่งเท่านั้น
เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นดวงตาคู่นั้นแล้ว
ในใจก็มีความรู้สึกว่าเป็นพลังที่คุ้นเคย
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับขมวดคิ้ว
ชื่อๆ หนึ่งติดอยู่ที่ลำคอ ราวกับว่ากำลังจะกระโดดออกมาจากข้างใน
เขามองอยู่อย่างงั้นด้วยแววตาที่แน่นิ่งไม่มีความรู้สึกใดๆ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเขาอย่างแจ่มแจ้ง
นางมองเขาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป
ปลายนิ้วของนางยังคงสั่นเล็กน้อย แต่สุดท้ายนางก็ทำให้นิ่งและทำแสดงท่าทางได้
ในที่สุดสีหน้าของชายผู้นั้นก็เปลี่ยนไป
จากนั้นจู่ๆ ก็มีสิ่งของบางอย่างบินออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เกิดแสงสีเงินกะพริบตรงหน้าฉู่หลิวเยว่!
ต่อมานางก็รู้สึกว่าร่างกายของนางถูกลากเข้าไปอยู่ในที่ๆ แปลกประหลาด
รอบข้างของนางมืดไปหมด ก่อนจะมีพลังขมขู่พุ่งเข้ามาทันที
แต่ในใจของฉู่หลิวเยว่กลับไม่รู้สึกตื่นตระหนก
เพราะนางรู้ว่านี่คือแหวนเทียนจิ่งที่ใช้สำหรับหายตัวโดยเฉพาะ
ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก และเป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวนที่ล้ำค่าในราชวงศ์เทียนลิ่งอีกด้วย
เพราะนี่คือแหวนเทียนจิ่งที่เพียงเพิ่มพลังจิตเข้าไป ก็จะพาคนที่อยู่อีกที่หนึ่งเคลื่อนย้ายไปยังอีกที่หนึ่งได้
จากระยะห่างของการเคลื่อนย้ายที่แตกต่างกันนั้น แบ่งได้จากระดับความสามารถที่ต่างกัน
ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใดก็ยิ่งหายากขึ้นเท่านั้น และความปลอดภัยก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย
ฉู่หลิวเยว่ก็เคยมีเช่นกัน ฉะนั้นจึงถือว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง
เมื่อสัมผัสได้สักพักนางก็มั่นใจแล้วว่านี่คือแหวนเทียนจิ่งระดับสูง
ถึงแม้พลังขมขู่ที่วุ่นวายอยู่ในอากาสจะทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงนัก
อีกอย่างนางสามารถสัมผัสได้ว่าคนๆ นั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง
ต่อให้มองไม่เห็นอันใด แต่…ในใจของฉู่หลิวเยว่กลับไม่ได้กังวลแต่อย่างใด
มีเพียงดวงตาที่เรียวยาวคู่นั้นเท่านั้นที่วนเวียนอยู่ในหัวของนาง
นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเก็บความสงสัย และความปั่นป่วนในใจเอาไว้
ผ่านไปไม่นานพลังขมขู่รอบๆ ก็หายไป
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกโล่งอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในบ้านอีกครั้งแล้ว
ในห้องของนางยังคงมีเปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ และเปล่งแสงจางๆ ราวกับว่านางไม่เคยไปจากที่แห่งนี้มาก่อน
มองพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็คำนวณกระบวนการขั้นตอนคร่าวๆ และใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
แววตาที่สัตย์จริงกำลังมองมาที่นาง
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นก่อนจะสูดหายใจลึกๆ และในที่สุดก็หันตัวไป
ทั้งคู่สบตากัน
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ยกแขนเสื้อขึ้น และในที่สุดก็เอ่ยปาก
“เจ้า…เจ้ามาวันนี้ก็เพื่อช่วยข้าหาของที่ซือถูซิงเฉินถือไว้หรือ?”
คนคนนั้นไม่พูดไม่จา มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
ฉู่หลิวเยว่อธิบายถึงความรู้สึกแบบนั้นไม่ออก
ในใจเหมือนมีสำลีที่หนา และเปียกชุ่มคาเอาไว้จนเกือบทำให้นางหายใจลำบาก
อย่างใดตามในความคลุมเครือนั้น ดูเหมือนจะมีแสงเล็กๆ ส่องผ่านหมอกหนาทึบที่อยู่ตรงหน้านาง ทำให้หัวใจของนางรู้สึกมีความหวัง และคาดหวัง…เล็กน้อย
ทั้งสองเข้าสู่สภาวะเงียบงันทันที
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าตัวเองกำลังรออันใดอยู่ และนางก็รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายกำลังรอสิ่งใดอยู่
ภายใต้เงาของแสงจันทร์ที่ส่องสว่างชัดเจน ดึงเงาของทั้งสองได้ยาวสุดๆ
ฉู่หลิวเยว่คลายฝ่ามือที่กำหมัดแน่น และปล่อยสลับไปมา ถึงขั้นเหงื่อตกแม้ค่ำคืนนี้จะอากาศหนาวก็ตาม
สักพักเขาก็อ้าปาก และด้วยความตื่นเต้นจึงทำให้คอแห้ง
“ข้างล่างภูเขายางหนาน”
แต่ละคำถูกพูดออกมาอย่างชัดเจน
เสียงที่เดิมทียังชัดแจ๋ว ตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงแหบแห้ง และมีขมขื่นเล็กๆ ความคิดถึงที่ลึกซึ้งมากอยู่ ในที่สุดสายตาของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดความโมโหขึ้นมา!
ในที่สุดเขาก็เอ่ยและพูดประโยคแรกของค่ำคืนนี้
“สือซานเยว่กลับมาแล้ว!”
ต่อมาเขาก็ถกชุดคลุมขึ้นก่อนจะคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แล้วใช้มือข้างขวากุมไปที่อกข้างซ้ายแน่นๆ!”
“พระสนมจักรพรรดิ ชีหานขอบูชาด้วยความเคารพ!”
มันคือเขา!
ที่จริงก็เป็นเขานี่เอง!
แม้ว่านางจะเคยนึกถึงตัวตนของเขามาก่อน แต่คราวนี้นางได้ยินกับหูของนางเอง และยืนยันด้วยตัวเองหัวใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
ราวกับว่ามีเปลวไฟลามออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จนทำให้ร่างกายของนางไหม้เกรียม
สถานการณ์ทุกอย่างรอบๆ ได้เลือนลางไปมีเพียงเงาของคนที่อยู่ตรงหน้าที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่หลิวเยว่เคยคิดอยู่หลายครั้งว่าจะมีคนมองตัวตนที่แท้จริงของนางภายใต้เนื้อหนังร่างนี้ออกหรือไม่
นางนึกถึงผู้คนมากมาย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเป็นสือซานเยว่
ยิ่งกว่านั้นคือ ณ ที่แห่งนี้ ณ เวลานี้
สือซานเยว่กลับมาข้างล่างภูเขายางหนาน
นี่คือคำพูดลับระหว่างนาง และสือซานเยว่นอกจากพวกเขาก็ไม่มีใครรู้
ดังนั้นเมื่อฉู่หลิวเยว่พูดประโยคก่อนหน้านั้นออกมา มันก็เทียบเท่ากับว่าเป็นการยืนยันตัวตนของนางแล้ว
นางหลับตาลงก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
“เข้ามาพูดข้างใน”
“เพคะ!”
…
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปในห้อง ก่อนที่ชีหานจะเดินตามเข้าไปด้วย
เมื่อล็อคหน้าต่างหมดแล้ว และมั่นใจว่าจะไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงนั่งลงบนเก้าอี้
เงยหน้ามองไป ชีหานก็ยืนหลังตรงอยู่อีกฝั่ง เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นเท่านั้น ที่ยังคงมองมาที่นางตลอดเวลา
สำหรับเรื่องนี้ เห็นได้ชักว่าความสงสัย และความตกตะลึงในใจชีหานก็ไม่ได้น้อยไปกว่านาง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น
“เชิญนั่ง”
ชีหานรีบเอ่ยปากทันที
“ขอบพระทัยองค์หญิง ชีหานยืนดีกว่า”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
ไม่เจอกันนานถึงเพียงนี้ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม ส่วนผู้คนนั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่คนที่ชื่อชีหานคนนี้กลับยังไม่ได้เปลี่ยนไป
“นั่งลงเถิด ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นนายของพวกเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าแล้ว”
ชีหานคุกเข่าลง
“ในสือซานเยว่แห่งนี้มีท่านเป็นนายเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
นางนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
“หรือ…ครั้งนี้ท่านจะไม่รับพวกเราอีกแล้ว?”
ฉู่หลิวเยว่เริ่มคัดจมูกเหมือนจะร้องไห้
“ข้าทิ้งพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”
ชีหานกลับนิ่งอยู่กลับที่
“ท่านไม่ได้กลับมานานแล้ว บ่าวต้องคุกเข่าเพื่อชดใช้ให้กับระยะเวลาก่อนหน้านี้จึงจะถูก!”
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่หายไปแล้วขอบตาก็เริ่มแดงขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่ลุกขึ้นมา ก็กลับไปซะ”
ชีหานลังเลสักพีกจึงลุกขึ้นยืนแล้วยืนตัวตรงอยู่อีกฝั่ง
เขาชะงักไปสักพักจึงเอ่ยปากว่า
“หลังจากที่ท่านตายไป กระหม่อมก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกต่อไปแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เบือนหน้าหนีพลางกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอาไว้ ผ่านไปสักพักจึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้
“ว่ามาเถิดว่าหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา พวกเจ้าอยู่มาอย่างใด? แล้วเจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างใด?”
ชีหานเอ่ยปาก
“…ที่จริงแล้ว ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับท่าน กระหม่อมได้เห็นถึงความผิดปกติตั้งแต่แรกแล้ว จึงคิดจะกลับไป แต่ระหว่างทางที่กลับไปก็มีคนที่คิดจะฆ่าเราปรากฏตัวขึ้น เมื่อพวกเรากลับไปถึง ท่านก็…ศาลบรรพบุรุษก็ถูกเผาไหม้ไปแล้ว…”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งไป
“พูดแบบนี้ แสดงว่าพวกเจ้ากลับไปตั้งแต่วันนั้นแล้วใช่หรือไม่?”
ชีหานก้มหน้าลง
“เป็นเพราะข้าไม่มีปัญญาเอง ข้ากลับไปถึงช้าไป!”
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นได้
“เหตุใดบนมทอของเจ้าถึงมีรอยแผลเป็นไฟไหม้อยู่ด้วย?”
ชีหานชะงักไปสักพัก
“ที่เผาไหม้วันนั้นใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถาม
เห็นท่าทางที่นิ่งเงียบของชีหาน หัวใจของนางก็เต้นแรงทันที
“เจ้าปลดผ้าคุมหน้าออกเดี๋ยวนี้!”