ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 451 ระดับสี่
ตอนที่ 451 ระดับสี่ [รีไรท์]
ภายใต้ลำแสงเรืองรองนั้นมีเงาร่างของคนคนหนึ่งซ่อนอยู่ ถึงจะดูพร่ามัวเล็กน้อย แต่ฉู่หลิวเยว่ยังคงจำได้ขึ้นใจว่าร่างนั้นคือ ซือถูซิงเฉิน!
เมื่อนางเหินไปยังจุดกลางของลำแสง ก็พลันต้องหยุดชะงัก
จากนั้นพลังแห่งสวรรค์และโลกจากทั่วทั้งสี่ทิศก็เริ่มหลั่งไหลเข้าหานางอย่างบ้าคลั่ง!
เกิดกระแสแห่งความผันผวนหลายสาย ปรากฏขึ้นรอบตัวนางอย่างรวดเร็ว!
แม้กระทั่งลวดลายบนลำแสงนั่น ก็ยังบิดเบี้ยวเข้าหากันประหนึ่งความผันผวนของพลังปราณ!
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองร่างของซือถูซิงเฉินไม่วางตา
เนื่องด้วยพลังเหล่านั้นไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย จึงส่งผลให้การแผ่ขยายของพลังปราณของนางเพิ่มขึ้นเช่นกัน!
“นะ นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
เจี่ยนเฟิงฉือถามเสียงตะกุกตะกัก พร้อมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างฉู่หลิวเยว่เบาๆ
“นี่ เจ้ารู้หรือว่านางกำลังจะทำอันใด? เมื่อครู่เจ้าพูดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง…เจ้าหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้โต้ตอบ แต่มีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจของนาง
หม้อไฟสีชาดนั่นต้องอยู่ที่ซือถูซิงเฉินแน่ๆ!
และเห็นได้ชัดว่านางลงมือแล้ว! ซึ่งการกระทำของนางกำลังไปกระตุ้นพลังของหม้อสัมฤทธิ์นั่น!
ก่อนหน้านี้นางเป็นเพียงนักรบระดับสาม แต่หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ นางจักทะลวงให้ผ่านระดับสี่ แน่นอน!
ทว่าตอนนี้พวกเขาต้องหาวิธีหยุดนางให้ได้!
เจี่ยนเฟิงฉือจ้องมองมันอีกสองสามครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้ว
“เจ้าสิ่งนั้นช่างประหลาดนัก… เจ้าได้กลิ่นคาวเลือดบ้างหรือไม่?”
พลันฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเย็นวาบ
“หม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาดนั่นบรรจุพลังปราณและเลือดของผู้ฝึกตนหลายร้อยคนเอาไว้ ไม่แปลกที่มันจะมีกลิ่นแบบนี้”
เจี่ยนเฟิงฉือหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
ตัวเขานั้นเป็นถึงเซียนหมอ ที่ได้ฆ่าและช่วยชีวิตผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉู่หลิวเยว่ เขากลับไม่ชินและรู้สึกมวนท้องขึ้นมาง่ายๆ
แค่ลองคิดเล่นๆ ก็สามารถเห็นภาพการนองเลือดนั่นแล้ว!
แสดงว่าธาตุแท้ของหม้อไฟสีชาดนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก!
“เจ้าจะบอกว่า ลำแสงนี้คือพลังของผู้ฝึกตนเหล่านั้น ที่หม้อสัมฤทธิ์นี้สูบมาอย่างนั้นหรือ? แต่ทว่าการสะสมพลังด้วยวิธีนี้ล้วนแต่มีจุดด่างพร้อยและยุ่งเหยิง อีกทั้งยังอาจขัดแย้งกันเองได้! เมื่อพลังเหล่านี้ถูกดูดซับ แม้ว่าผู้ฝึกตนจะสามารถปรับปรุงขอบเขตการใช้งานได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่จะมีผลอย่างมากต่อการฝึกฝนในอนาคต! ไอ้บ้าไร้สมองคนใดที่กล้าอวดดีก่อเรื่องเช่นนี้กัน!?”
เจี่ยนเฟิงฉือกล่าวเช่นนั้น เพราะเขาไม่รู้จักซือถูซิงเฉิน
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
ถึงเจี่ยนเฟิงฉือจะพูดเช่นนั้น แต่คิดหรือว่าคนอย่างซือถูซิงเฉินจะไม่รู้?
ความจริงแล้วนางรู้ แต่นางก็เลือกทำเช่นนี้อยู่ดี!
ทว่าทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนบางอย่างที่กระจายออกมาจากถุงเฉียนคุณ
นางตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่าความผันผวนนั่นมาจากกล่องไม้!
เมื่อก่อน ซือถูซิงเฉินเป็นคนมอบกล่องไม้นี้ให้นาง!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าของในกล่องไม้นี้จะเคลื่อนไหวเพราะลำแสงนั่น!
ทว่าภายในกล่องไม้ มีเพียงม้วนกระดาษเก่าๆ เท่านั้น
และมีรอยตราประทับอยู่บนนั้น ซึ่งจนถึงตอนนี้ นางก็ยังเปิดมันไม่ได้!
ก่อนหน้านี้นางคิดหาวิธีอยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่สามารถเปิดได้ ดังนั้นนางจึงต้องหยุดเรื่องม้วนกระดาษไว้ชั่วคราว
และนางก็คิดไม่ถึง… ว่ามันจะเกี่ยวพันกับหม้อสัมฤทธิ์นั่น!
ดวงตาทั้งสี่คู่หันมองภาพเบื้องหน้าบนพื้นที่ว่างเหนืออากาศ ซือถูซิงเฉินยังคงกลืนกินพลังปราณโดยรอบอย่างรวดเร็ว และรัศมีในร่างกายของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน!
ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวในกล่องไม้ค่อยๆ แผ่ขยายออก!
พลันเจี่ยนเฟิงฉือก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการแสดงออกของฉู่หลิวเยว่ “เป็นอันใดไปหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
จากข้อมูลที่จักรพรรดิจยาเหวินเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นางสามารถเดาได้ว่า จักรพรรดินีได้ทำการจัดเตรียมหม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาดไว้ให้หรงจิ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อช่วยในเรื่องการฝึกตนของเขา และทำให้เขาได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่
แต่นางแอบเดาเล่นๆ ว่าจักรพรรดิจยาเหวินจะต้องรู้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่านี้แน่ๆ แต่แค่ไม่เอ่ยปากบอกใคร
เดิมทีนางวางแผนว่าหลังจากหามันเจอ นางจะทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เพราะซือถูซิงเฉินได้กลายเป็นผู้ถือครองแล้ว
เมื่อเปิดผนึก พลังปราณในหม้อไฟสีชาดจะถูกกลืนกิน และเปลี่ยนเป็นพลังของซือถูซิงเฉิน
แต่ดูตอนนี้สิ…มันเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก…
“มัวจ้องอันใดอยู่!? รีบเดินเสีย!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนอันร้อนรนดังมาจากพื้นที่ด้านข้าง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นกลุ่มคนที่กำลังย้ำเท้ามาทางด้านนี้
นางขยับตัวอย่างว่องไว และรีบซ่อนตัวหลบในมุมมืดอย่างรวดเร็ว
และเมื่อเห็นเช่นนั้น เจี่ยนเฟิงฉือเองก็รีบซ่อนตัวเช่นกัน
ขณะเดียวกันกลุ่มคนเหล่านั้นก็ยิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น
ตอนนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ก็ได้เห็นเต็มๆ สองตาว่าคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง และกำลังถูกตำหนินั้นคือจักรพรรดิจยาเหวิน!
ส่วนคนที่เดินตางหลังเขามาก็คือขันทีหมิน และขุนนางคนอื่นๆ อีกสองสามคน และดูเหมือนทุกคนกำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก
พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยทหารในชุดเกราะสีแดงเพลิง
หรือก็คือ…คนของหรงจิ่ว
เสื้อคลุมลายมังกรบนร่างของจักรพรรดิจยาเหวินถูกปลดออก และนั่นทำให้เขารู้สึกอับอาย
และหากไม่สังเกตให้ดี ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ถึงสถานะของเขา
เขาดูกังวลและยังคงหันศีรษะไปมองลำแสงสีน้ำเงินและสีแดง ราวกับว่าเขาต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง
ทว่าน่าเสียดายที่ปากของเขาถูกปิดผนึก เขาจึงทำได้เพียงส่งเสียงคร่ำครวญ ที่คนฟังไม่สามารถจับใจความได้ว่าเขากำลังพูดอันใด
จากนั้นนายทหารที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักเขาให้ก้าวต่อไป
ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินยังคงดิ้นรน
จนทหารอีกคนที่อยู่ข้างๆ กันชักกริชออกมากดที่เอวเขา แล้วตะโกนอย่างโกรธเคือง
“พวกเรามีวิธีทำให้เจ้าเชื่อฟังอยู่นะ! เจ้าอยากลองดูสักหน่อยหรือไม่!?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็หยุดดิ้น พร้อมกับดวงตาที่ฉายแววสิ้นหวัง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย
ไม่นานกลุ่มคนเหล่านั้นก็เดินผ่านฉู่หลิวเยว่และเจี่ยนเฟิงฉือไปยังทิศทางที่ถูกนายทหารกำหนด
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกาย จากนั้นนางก็คิดจะตามพวกเขาไป!
แต่เจี่ยนเฟิงฉือกลับรั้งนางไว้เสียก่อน
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กลอกตาใส่เขาหนึ่งที
“จะมาก็มา ถ้าไม่อยากมา ก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ!”
เจี่ยนเฟิงฉือตกใจ
เมื่อก่อนนางปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทางสุภาพกว่านี้มิใช่หรือ? เหตุใดเพียงพริบตานางถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้?
แต่ในขณะที่เขากำลังจะแย้งออกไป ดวงตาคู่คมกับสบตาเข้ากับดวงตาคู่สวยที่หนักแน่นของนางเข้าเต็มๆ พลันเริ่มรู้สึกผิด แล้วบ่นงุบงิบเบาๆ
“ไปก็ไปสิ…จะหัวร้อนไปใย…”
เหตุใดฉู่หลิวเยว่จักต้องหัวเสียใส่เขาด้วยเล่า?
ตำแหน่งของเขาสูงกว่านางอีกนะ แต่เพราะอันใดเขากลับรู้สึกต่ำต้อยกว่านางถึงเพียงนี้?
ทว่าในขณะที่เขากำลังคิดว่าปัญหานั้นเกิดจากตัวเขาเองหรือไม่ ฉู่หลิวเยว่ก็สาวเท้าตามคนเหล่านั้นไปเสียแล้ว!
เจี่ยนเฟิงฉือจึงทำได้เพียงก้มหน้าเดินตามไปอย่างจำยอม
…
คนเหล่านั้นพาจักรพรรดิจยาเหวินมาที่ตำหนักชิงเหอ
ทว่ามีเพียงจักรพรรดิจยาเหวินที่ถูกขังอยู่ในห้องเพียงลำพัง ขณะที่คนอื่นๆ ถูกจับแยกออกไปที่อื่น
ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกล็อคจากทุกทิศทาง
และมีเพียงนายทหารไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับมอบหมายให้อยู่เฝ้า
ความจริงแล้วหรงจิ่วยังระแวดระวังจักรพรรดิจยาเหวินมาก แต่ตอนนี้เมืองหลวงทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลังจากอดทนรออยู่หลายปี ในที่สุดแผนของเขาก็ประสบความสำเร็จ และนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีมาก จนเผลอผ่อนปรนความหวาดระแวงของตนลงบางส่วน
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของซือถูซิงเฉินยังเบี่ยงเบนความสนใจของเขาออกจากจักรพรรดิด้วย
ซึ่งมันช่วยทำให้ฉู่หลิวเยว่คล่องตัวกว่าเดิม
และหลังจากสังเกตอยู่ซักพัก นางก็ส่งถวนจื่อออกไป
ไม่นานถวนจื่อที่มีขนาดเล็กและว่องไว ก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คุมทั้งสองได้
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ใช้โอกาสที่พวกเขาละทิ้งจุดยืน แอบเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว!
เปรี้ยง!
พลันเกิดเสียงอัสนีบาตรดังลั่น!
ฉู่หลิวเยว่จึงหันไปดูทันที ก่อนจะพบว่าซือถูซิงเฉินทะลวงผ่านนักรบระดับสี่แล้ว!