ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 452 สถานการณ์วุ่นวาย
ตอนที่ 452 สถานการณ์วุ่นวาย [รีไรท์]
ทว่าซือถูซิงเฉินมิได้หยุดเพียงเท่านี้ กลับยังมีอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้น กลืนกินพลังงานของแผ่นฟ้าและผืนปฐพีโดยรอบเอาไว้! เห็นเป็นประจักษ์ว่ามิสามารถทำให้ลำแสงสีแดงนั้นดับสูญลงไปได้
นางทอดสายตาไปยังเมฆดำที่หมุนเป็นระลอกอย่างมิหยุดยั้งบนฟากฟ้า รวมทั้งอัสนีบาตรซึ่งปรากฏอยู่เป็นนิจในชั่วขณะหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ว่าตามสภาพโดยทั่วไป มีเพียงตอนที่ผู้ปราดเปรื่องเหนือมนุษย์ทำพลั้งพลาดเท่านั้นถึงจะส่งผลกระทบอันน่าพิศวงต่อโลกเช่นนี้ได้
แต่ประหนึ่งว่าเป็นนักพรตที่ต้องการกระตุ้นด้วยสุรเสียงที่กึกก้องขนาดนี้ ว่าอย่างน้อยที่สุดต้องทะลวงไปให้ถึงนักรบระดับห้า!
ใคร่รู้นัก ในคราแรกที่ฉู่หนิงหายจากอาการบาดเจ็บป่วยที่เป็นอยู่นาน ตอนที่ตีฝ่าไปถึงนักรบระดับห้า ทุกอย่างก็ดูมิเหมือนกันกับสิ่งที่เป็นตอนนี้…
ถ้าทำแบบนั้นต่อไป ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ซือถูซิงเฉิงจะทะลวงระดับของนักรบได้อย่างต่อเนื่อง
ทว่ากล่องไม้ที่อยู่ภายใต้การแบกรับของฟากฟ้าและแผ่นดิน กลับเกิดการสั่นคลอนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่หลิวเยว่เกือบเกิดความสนใจแล้ว
นางรู้สึกเหมือนว่าในกล่องไม้นั้นจะมีอันใดบางอย่าง ที่ต้องการจะออกไปโจมตี!
ในขณะนั้นเอง จักรพรรดิจยาเหวินก็ได้ยินเสียงนั้น เขาหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
พลันฉู่หลิวเยว่ก็เข้าไปแอบตรงโต๊ะหนังสืออย่างรีบเร่ง
จักรพรรดิจยาเหวินในตอนนี้มีสภาพจิตใจที่มิสู้ดีนัก เหลือเพียงแต่สติสัมปชัญญะและการตั้งใจจดจ่ออันน้อยนิด จิตใจของเขาถูกปล่อยทะยานขึ้นสู่ลำแสงบนนภาผืนนั้น มิได้สนใจถึงการมีอยู่ของฉู่หลิวเยว่มาตั้งแต่แรก
เขาเดินอย่างเชื่องช้าไปจนถึงริมหน้าต่าง แต่หน้าต่างถูกตรึงไว้แน่นจากด้านนอก และไม่สามารถเปิดออกได้ตั้งแต่แรก เขาจึงมองไม่เห็นสภาพการณ์ของภายนอก
เขามองเห็นเพียงแค่แสงจากดวงสุริยนที่ถูกส่องสะท้อนมายังหน้าต่าง
“เหตุใดถึง…เหตุใดมันถึงเป็นเช่นนี้…”
จักรพรรดิจยาเหวินตกตะลึงพรึงเพริด พึมพำเสียงแผ่ว
“หรูเยว่…ในที่สุด ถึงคราวที่ข้าต้องขอการอภัยจากเจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่งงงัน
หรูเยว่?
หากนั่นมิใช่สนมเอกตำแหน่งหว่านอี๋ผู้แสนอ่อนโยนในปีนั้น ก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหรงซิวอย่างนั้นหรือ
ในตอนนี้ จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยคำพูดนี้ออกมามีความหมายว่าอย่างใดกัน?
ทั้งยัง…ฟังดูแล้ว ในน้ำเสียงนั้น มีความเสียใจและคับแค้นใจอย่างสุดซึ้งจากการกระทำผิดของตน
มีการเล่าลือกันว่าในปีนั้นจักรพรรดิจยาเหวินหลงรักหว่านอี๋มาก ต่อให้มีนางสนมสามพันคน แต่ก็ล้วนเทียบนางเพียงผู้เดียวมิได้
ทว่าหลังจากนั้นต่อมา… ตอนที่หว่านอี๋ได้ให้กำเนิดหรงซิวออกมาได้ไม่นาน นางก็ได้มีปากเสียงกับจักรพรรดิจยาเหวินอย่างหนักหน่วง นางย้ายออกจากพระราชวัง ตรงไปยังสำนักเทียนลู่
หลังจากอยู่ที่สำนักวิชาได้สองปี นางก็ถึงแก่มรณกรรม
จักรพรรดิจยาเหวินมิสามารถลบนางออกไปจากใจได้ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องสามัญ แต่เหตุใดถึงจงใจพูดถึงนางขึ้นมาในตอนนี้กันล่ะ?
ขณะนั้นเอง จักรพรรดิจยาเหวินก็หยิบบางอย่างมาจากลำคอ
เนื่องจากเขาเอี้ยวตัวให้กับตำแหน่งที่ฉู่หลิวเยว่อยู่ จึงทำให้ฉู่หลิวเยว่แค่พอมองเห็นรูปร่างของมัน หากแต่ยังเพ่งมองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วนั่นคือสิ่งใดกันแน่
“เจ้ายังคงตำหนิในตัวข้า…ก็ใช่ มันเป็นความผิดของข้าเอง…ด้วยเหตุนั้น วันนี้ถึงได้ตกต่ำจนน่าอัปยศอดสู”
จักรพรรดิจยาเหวินว่าเสียงเบาราวกับกระซิบกระซาบ มองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือ ดูเหมือนจะหัวเราะ แต่ก็คล้ายว่าจะร้องไห้
เพียงครู่เดียว ของในมือของเขาก็หลั่งพรั่งพรูออกมาเป็นเส้นแสงวาววับอย่างกะทันหัน! ประหนึ่งเหมือนสายลำธาร เลียบไปตามแขนของจักรพรรดิจยาเหวินจนลุกลามแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง!
ด้วยความรวดเร็ว จักรพรรดิจยาเหวินถูกแผ่คลุมอยู่ภายใต้แสงอันรุ่งโรจน์ที่ดูประหลาดและน่ามหัศจรรย์นั่นไปทั่วทั้งตัว!
นัยน์ตาดำของฉู่หลิวเยว่หดตัวลง!
เป็นเพราะลมปราณบนเรือนร่างของจักรพรรดิจยาเหวิน กำลังค่อยๆ ถูกเสริมให้มีกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างมิน่าเชื่อ
ทว่าพละกำลังนั้น มันหลั่งทะลักออกมาจากภายในร่างกายของตัวเขาเอง!
บนกระหม่อมของเขา ปรากฏอักขระชนิดหนึ่งซึ่งดูแปลกประหลาดขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่แอบมองอย่างเร็วปรือ พบว่าลวดลายนั้นกับลวดลายที่อยู่บนลำแสงสีแดงด้านนอกเหมือนกันอย่างกับแกะ!
ทว่าพลังปราณของสิ่งที่อยู่บนกระหม่อมของจักรพรรดิจยาเหวินนั้นดูแล้วธรรมดามาก ไม่เหมือนกับสิ่งนั้นที่อยู่ข้างนอกเลย
แควก!
จู่ๆ รอยแยกเป็นแนวยาวก็ปรากฏบนอักขระนั่น
และเมื่อเกิดรอยแยก พลังปราณในร่างกายจักรพรรดิจยาเหวินก็ เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมิทันคาดคิด!
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจถ่องแท้ถึงอันใดบางอย่าง
จักรพรรดิจยาเหวินฝังอักขระไว้ในร่างกาย!
และตอนนี้ เขาเกือบจะทำให้ลวดลายอักขระเหล่านั้นขาดออกจากกันอยู่แล้ว!
เห็นได้ชัดว่ากำลังวังชาและความสามารถของจักรพรรดิจยาเหวิน มิได้ธรรมดาอย่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ภายนอก!
ฉู่หลิวเยว่พลันนึกอันใดขึ้นมาได้ ภายในใจเต้นกระส่ำอย่างรุนแรง
หากกล่าวว่า ลวดลายที่ปรากฎบนกระหม่อมของจักรพรรดิจยาเหวินเป็นอักขระแล้วล่ะก็ แล้ว…อันที่อยู่ข้างนอกตรงนั้นเล่า
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าที่ดังสะเทือนเลือนลั่น เกลือกกลิ้งไปมาอยู่เมฆดำที่หนาและหนักอึ้ง ท้ายที่สุด ฟ้าได้ผ่าไปยังลำแสงนั่น!
เปรี้ยง เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังแสบแก้วหู พลันอักขระที่ปรากฏอยู่เหนือลำแสง ก็ถูกแบ่งแยกออกจากตรงกลางจนกลายเป็นร่องยาว!
แต่เนื่องจากความวับวาวบนลำแสงนั้นยังคงโชติช่วง และสภาพที่เปลี่ยนไปจากเดิมเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ความตั้งใจของผู้คนส่วนใหญ่ในขณะนี้ ล้วนจดจ่ออยู่ที่ลำแสงบนร่างกายของซือถูซิงเฉิน!
แววตาของหรงจิ่วจ้องมองอย่างแน่วแน่
แท้จริงแล้ว เขาจำได้ว่าคนผู้นั้นคือซือถูซิงเฉิน
ดูท่าแล้ว เมื่อก่อนนางคงโดนขังอยู่ในพระราชวังมาโดยตลอด เพียงแค่มิรู้ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางถึงได้เริ่มบุกทะลวงอย่างฉุกละหุกเช่นนี้
แล้วลมปราณบนลำแสงนั่น…ช่างเหมือนกันกับหม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาดไม่มีผิด!
“องค์ชายขอรับ เราควรทำเช่นไรดี?”
ลูกสมุนที่อยู่เบื้องหลังต่างมองเขาอย่างหวาดกลัว
หรือว่าจะปล่อยปละละเลยไปเช่นนี้ดี?
หรงจิ่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ปิดล้อมทางเข้าออกพระราชวัง เตรียมพร้อมเปิดใช้ค่ายกลซวนหมิง!”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
“องค์ชายขอรับ ค่ายกลซวนหมิงกินกำลังคนและทรัพยากรไปมิใช่น้อย แค่นักรบระดับสี่คนเดียว มันจะเกินไปหรือเปล่าขอรับ”
ผู้นำตระกูลขุนนางครอบครัวหนึ่งได้เอ่ยหยั่งเชิงขึ้นมา
หรงจิ่วหันกลับมามอง หัวเราะเย้ยหยัน
“เช่นนั้น ผู้นำตระกูลฟงอย่างเจ้าคงอยากสิ้นชีพก่อนเหล่าขุนนางคนอื่น?”
สีหน้าของคนผู้นั้นเปลี่ยนไป พลันรีบรุดส่ายหัว
ล้อเล่นหรืออย่างใด!
ลมปราณบนลำแสงนั่นดูอันตรายถึงเพียงนั้น แม้แต่เว่ยหลินที่เป็นนักรบระดับห้ายังหมดหนทาง นับประสาอันใดกับคนอื่น
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดอยากไป…เช่นนี้แล้วยังไม่รีบจัดเตรียมเปิดค่ายกลอีกหรือ!”
หรงจิ่วออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด คนผู้นั้นตกใจขึ้นมา มิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก พลันรีบรุดถอยหลังออกไป
ด้วยความรวดเร็ว คนที่อยู่รอบข้างล้วนตามหลังกันไปแล้ว
หรงจิ่วมองไปยังซือถูซิงเฉินอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นกลับนึกถึงเรื่องหนึ่งได้อย่างกะทันหัน
“ตอนนี้เยี่ยเหล่าอยู่ที่ใด”
…
เยี่ยเหล่าในขณะนี้ กำลังรวมตัวกับผู้อาวุโสจงเยี่ย
หลังจากออกมา เขาก็วางแผนที่จะขัดขวางซือถูซิงเฉินก่อน แต่กลับถูกผู้อาวุโสจงเยี่ยขัดขวางหนทางที่จะไป
สองคนที่มีพละกำลังไล่เลี่ยกัน ตอนนี้ผู้อาวุโสจงเยี่ยไม่ได้ถูกแบกรับภาระจนมากเกินไป กำลังสู้รบจึงแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเยอะ
ดังนั้น หลังจากผ่านกระบวนการวิทยายุทธ ทั้งสองคนก็ยังคงตีเสมอกันอยู่!
เมื่อมองเห็นซือถูซิงเฉินทะลวงผ่านนักรบระดับสี่แล้ว อีกทั้งยังวางแผนที่จะทะลวงอย่างต่อเนื่อง เยี่ยเหล่าก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ
“จงเยี่ย รู้หรือไม่ว่าหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าน่ะ กำลังทำสิ่งใดอยู่กัน?”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยหัวเราะเยาะ
“นางกำลังทำสิ่งใดอยู่ ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? โอกาสที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เจ้าอยากไปขัดขวาง ก็ให้ตีฝ่าคนอาวุโสอย่างข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ!”
ลำแสงที่แฝงเร้นไปด้วยกำลังที่แข็งแกร่งนั้น ซือถูซิงเฉินเริ่มจากผ่านนักรับระดับสาม และผ่านฉลุยไปยังนักรบระดับสี่!
ผ่านไปอีกไม่นาน คงจะสามารถทะลวงนักรบระดับห้าไปได้!
นางมีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์หลวงอย่างดี ทว่าหากเกี่ยวกับนักรบ กลับมิได้มีการพัฒนาที่ดีเสียเท่าไร
หากเพียงคว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ให้ดี นางจักแข็งแร่งมากกว่าเมื่อก่อนเป็นร้อยเท่า!
จิตใจของเยี่ยเหล่าเต็มไปด้วยความคับแค้น คนเขลาผู้นี้ คาดมิถึงว่ายังคงเข้าใจผิดอยู่ นั่นเป็นเพราะโชคชะตาของซือถูซิงเฉินดีถึงได้รับโอกาส! กระทั่งยังตั้งตารอนางฝ่าทะลวงครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงระดับมาตรฐานสูงสุด
ช่างเกินเยียวยาเหลือคน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอาวุโสอย่างข้าจะไม่เข้าไปขัดขวาง! เจ้าดูสถานการณ์ตรงนี้ไปก่อน ดูว่าท้ายที่สุดแล้ว นางจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับสูงสุดได้หรือไม่!”