ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 466 จู่โจม
ตอนที่ 466 จู่โจม [รีไรท์]
ใบหน้าที่เคยมีสีสันของจักรพรรดิจยาเหวินจืดจางลงในทันที พลันซีดเผือดราวไร้ชีวิตชีวา
เขาอ้าปากพะงาบๆ ราวกอบโกยลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น
“นาง…นางพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
นางต้องเกลียดเขาเข้ากระดูกดำเป็นแน่!
“ก่อนที่ท่านแม่จะสิ้นใจ ลูกได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
หรงซิวเอ่ยเสียงเรียบ
การสนทนาระหว่างทั้งสอง ส่งผลให้ทุกคนในที่นั้นสับสนงุนงงกันถ้วนหน้า
ตอนนั้นจักรพรรดิจยาเหวินชอบพอในตัวพระสนมหว่านอย่างมาก ในบรรดาสนมสามพัน นางคือผู้เดียวที่พิชิตใจเขาได้ ทว่าตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว มันเหมือนว่า ลึกๆ แล้วพระสนมหว่านก็แอบไม่พอใจจักรพรรดิจยาเหวินอยู่เหมือนกัน?
และเมื่อมีเรื่องของพรมแดนม่านฟ้าเข้ามาข้องเกี่ยว พวกเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจกว่าเดิม
เหตุใดพระสนมหว่านจึงมีความปรารถนาสุดท้ายเช่นนี้?
ฉู่หลิวเยว่เริ่มทำการคาดเดาเงียบๆ ในใจ
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามารดาของหรงซิวจะเป็นคนของพรมแดนม่านฟ้า!?
หากเป็นเช่นนั้น ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่า เพราะอันใดหรงซิวถึงมีความสามารถและความแข็งแกร่งที่โดดเด่นเพียงนั้น ไหนการต่อสู้นอกพรมแดนม่านฟ้าครั้งก่อนอีก!
การแสดงออกของจักรพรรดิจยาเหวินเปลี่ยนไปมาก แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า
“หรงซิว ข้ารู้สึกผิดต่อแม่ของเจ้ามาก แต่…ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ เดิมทีข้าไม่ได้วางแผนจะไปยังพรมแดนม่านฟ้าเลย ทว่าตอนนี้ ข้าคงต้องไปแล้ว!”
พรมแดนม่านฟ้าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ขอเพียงแค่เขาทะลวงต่อไป เขาก็สามารถเข้าไปได้สำเร็จ!
มันต้องเป็นอีกโลกหนึ่งที่รอคอยเขาอยู่แน่นอน!
หลังจากที่พระสนมหว่านเสียชีวิต เขาก็รู้สึกเสียใจกับมันมาก และถึงกับปิดบังความแข็งแกร่งของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา และอยู่เฉยๆ มานานหลายปี
เดิมทีเขาวางแผนจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่แล้ว แต่ทว่ายามนี้ ตราบใดที่เขาก้าวไปข้างหน้า ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป!
ซึ่งเขาได้เทใจไปทางด้านพรมแดนม่านฟ้าหมดแล้ว
หรงซิวไม่ได้ขยับเขยื้อน เขาแค่ยิ้มและพูดว่า
“หากท่านอยากไปก็ย่อมได้ แต่ท่านต้องคืนสิ่งนั้นให้ลูกเสียก่อน”
จักรพรรดิจยาเหวินสีหน้าเปลี่ยนทันควัน
“เจ้าต้องการสิ่งนี้หรือ!?”
“นั่นเป็นของของท่านแม่ หรือว่าท่านขโมยมันมา?” นัยน์ตาของหรงซิวฉายแววเย้ยหยัน “ยิ่งไปกว่านั้น…”
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ท่านแม่เคยให้สัญญาว่าจะมอบสิ่งนั้นให้เขา
สมัยนั้นท่านพ่อใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนี้ และเมื่อพูดถึงการโจรกรรม ตัวท่านพ่อเองนั่นแหละ ที่น่าจะเป็นคนไปขโมยมันมาจากท่านแม่ของเขา
เมื่อถูกหรงซิวเปิดโปง จักรพรรดิจยาเหวินก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้า และโกรธแบบสุดๆ
“หรงซิว! หลายปีที่ผ่านมา ข้าดูแลเจ้าอย่างดี! แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ!?”
เมื่อก่อนเขาคิดว่าหรงซิวเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมร่างกายที่อ่อนแอ และเพราะเหตุนี้บุตรของเขาจึงป่วยซมได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามตามหาเซียนหมอนับไม่ถ้วนมารักษาลูกชายคนนี้!
ทว่าสุดท้าย มันก็เป็นแค่กลลวง!
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางหัวเราะเบาๆ
“ท่านพ่อ ถ้าท่านรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ท่านยังจะปฏิบัติกับบุตรของท่านเช่นนี้หรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินแทบสำลัก ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แต่ไม่สามารถโต้แย้งอันใดได้
และยิ่งเห็นแบบนั้น หรงซิวก็ยิ่งขำ
ถ้าก่อนหน้านี้จักรพรรดิจยาเหวินรู้ว่าร่างกายของเขาแข็งแรงและมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ อีกฝ่ายคงจะโจมตีเขาไปนานแล้ว
และเขาคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
ส่วน “ความดี” ที่อีกฝ่ายสร้างมานั้น ก็มีเพียงข้อเท็จจริงที่ว่าคนเป็นพ่อไม่เคยคุกคามเขาเท่านั้น
ทว่าก็เหมือนที่เขามักพูดเสมอว่าเขารักท่านแม่มากแค่ไหน แต่สุดท้ายคนที่ทำร้ายนางมากที่สุด และถึงกับทำร้ายนางให้ตายอย่างหดหู่ ก็เป็นเขามิใช่หรือ?
ในมุมมองของหรงซิว ถ้อยคำเหล่านั้นของจักรพรรดิจยาเหวินเป็นเพียงเรื่องตลกขำขัน
และเมื่อสบเข้ากับดวงตาที่ทิ่มแทงของหรงซิว จักรพรรดิจยาเหวินก็แทบกลืนคำพูดทั้งหมดของตนกลับไป
ก่อนที่สุดท้ายสีหน้ากล้ำกลืนเหล่านั้นจะหายไป และเหลือเพียงความเย็นชาบนใบหน้าที่เรียบตึง
“ถ้าเจ้าอยากจะหยุดข้า ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแข็งแกร่งพอจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่!”
พูดจบ เขาก็เริ่มกลืนกินพลังปราณของสวรรค์และโลกรอบๆ ตัวอีกครั้ง!
จากนั้นลวดลายอักขระก็หายไป พลังปราณทั้งหมดในร่างกายของเขาหลั่งไหลออกมา หากเขาฝ่าฟันทะลวงให้ผ่านขอบเขตนักรบระดับเจ็ดขั้นสุดท้ายได้ เขาก็สามารถเข้าสู่พรมแดนม่านฟ้าได้สำเร็จ!
หรงซิวสะบัดมือ
ชิ้ง!
พลันเกิดเสียงของคมดาบดังสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ!
กระบี่เล่มยาวสีเงินที่เคยเจาะฝังกับพื้นเมื่อครู่ บินกลับมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว!
เท้าทั้งสองขยับเตรียมตั้งท่า พร้อมมือที่กำด้ามกระบี่ไว้แน่น พลันตวัดตามองไปที่จักรพรรดิจยาเหวิน!
พรึบ!
ฟู่!
พลังปราณของกระบี่ถูกปลดปล่อยออกมาและแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ!
แผ่นหยกบนพื้นแตกกระจายและลอยขึ้นไปบนอากาศ!
ก่อนจะถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกระบี่ บดขยี้จนย่อยยับกลายเป็นผุยผง!
เมื่อจักรพรรดิจยาเหวินเห็นหรงซิวเคลื่อนไหว เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ดี
และยิ่งเห็นพลังปราณของกระบี่ที่พวยพุ่งออกมาทางเขา หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงมากขึ้นไปอีก!
ความแข็งแกร่งของหรงซิวนั้น ทะลวงถึงระดับหกแล้ว!
ขณะทะลวงขอบเขต ผู้ฝึกตนจำต้องมีสมาธิในการทะลวงพลังปราณ และยิ่งระดับสูงขึ้น การตั้งสมาธิก็ยิ่งมากมายขึ้นตามไปด้วย
ตอนแรกจักรพรรดิจยาเหวินวางแผนที่จะสร้างค่ายกล เพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมด
แต่ทันทีที่หรงซิวเคลื่อนไหว เขาก็รู้ว่ามันไม่ทันแล้ว
เขาจึงต้องหยุดชะงัก และหันหลังกลับมาเผชิญกับการจู่โจมของหรงซิวอย่างสิ้นหวัง!
“ภูธาราไหลริน!”
พลันกลุ่มพลังปราณดั้งเดิมสีน้ำเงิน ก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา!
ตามมาด้วยกลุ่มแสงเส้นที่สอง และเส้นที่สาม!
พลังที่พุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว!
พร้อมเสียงซู่ซ่าของกระแสน้ำที่ดังชัดเจน!
พลังนั้นหลั่งไหลเสมือนแม่น้ำที่ไหลลงมา!
พลันพลังปราณของกระบี่ที่เย็นยะเยือกและรุนแรงก็พุ่งเข้ามา!
พลังของทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด!
เกิดน้ำกระเซ็นจากแรงโจมตี ทว่าลมปราณของกระบี่ยังไม่สามารถตัดผ่านแม่น้ำสายนั้นได้!
จักรพรรดิจยาเหวินแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ในเวลาต่อมา เขากลับเห็นว่าสายน้ำสีครามตรงหน้าถูกตัดขาดจากตรงกลาง! และแบ่งออกเป็นสองส่วน!
สีหน้าโล่งอกของจักรพรรดิจยาเหวินพลันชะงักค้าง!
ดูเหมือนว่าพลังของกระบี่เล่มนั้นจะแกร่งกล้ากว่าที่เขาคิด!
อีกทั้งลมปราณที่ซ่อนอยู่ในกระบี่เล่มนี้ มันแข็งแกร่งอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมากโข!
จากนั้นลมปราณของกระบี่เล่มยาวก็เคลื่อนตัวทวนกระแสน้ำขึ้นไปยังจุดกำเนิดของมัน!
ลมปราณที่กดขี่ข่มเหงทำให้จักรพรรดิจยาเหวินคร่ำเครียด!
เปรี้ยง!
พลังของบุตรชายทะลุทะลวงผ่านขอบเขตของเขาอย่างสมบูรณ์!
และพุ่งตรงมายังใบหน้าของเขา!
เขายกนิ้วเท้าขึ้นเล็กน้อย แล้วก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว!
แต่ขณะเดียวกัน จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาจากข้างหลัง!
เขาจึงรีบหลบไปด้านข้างทันที!
พลันตวัดสายตาไปมอง ก่อนจะเห็นว่าสิ่งที่โผล่พรวดเข้ามาโจมตีเขาคือ มังกรเพลิงโลกันต์!
กรร!
แต่เพราะเขาหลบการโจมตีของมันได้ มันจึงยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม!
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องนภา!
จนทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่บนพื้น ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันอันทรงพลังนี้ และพลอยหน้าถอดสีกันทั้งหมด
ส่วนคนที่ไม่แข็งแรงพอ ก็ถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือด
ทว่าแรงกดดันนั่นกลับทำอันใดฉู่หลิวเยว่ไม่ได้
ราวกับว่ามีค่ายกลโปร่งใสที่คอยกั้นไม่ให้แรงกดดันของมังกรเพลิงโลกันต์กระทบนาง
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ และกะพริบตาปริบๆ
หลายๆ คนโดนผลกระทบจากพลังของมันกันหมด แต่เหตุใดนางถึงไม่เป็นอันใดเลย?
ทันใดนั้น นางก็ปรายตามองเสวี่ยเสวี่ย
“อสูรศักดิ์อย่างข้าหรือ จะสู้เจ้ามังกรเพลิงโลกันต์นั่นไม่ได้?”
ทว่าจู่ๆ เสียงของอินทรีสามตาก็ดังขึ้นมาในหัวของนาง
ฉู่หลิวเยว่จึงตระหนักได้ทันที
นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
ตอนนี้อินทรีสามตาอยู่ในจุดตันเถียนของนาง แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้ แต่สัตว์อสูรนั้นอ่อนไหวต่อสิ่งเหล่านี้มาก
“มังกรเพลิงโลกันต์นั่นเป็นสัตว์อสูรพิทักษ์พระราชวังแห่งแคว้นเย่าเฉิน แต่ตอนนี้ เหตุใดมันถึงคิดโจมตีจักรพรรดิจยาเหวิน…”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
แต่ในขณะที่นางกำลังสงสัย พลังปราณของกระบี่เล่มนั้น ก็ได้ฟาดลงบนร่างของจักรพรรดิจยาเหวินแล้ว!