ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 467 ความจริง
ตอนที่ 467 ความจริง [รีไรท์]
จักรพรรดิจยาเหวินต้องการหลบหลีก แต่ความเร็วของลมปราณกระบี่นั้นเร็วเกินไป!
ชิ้ง!
ลมเย็นพัดผ่านลำคอเขาวูบหนึ่ง!
กึก!
พลันสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงคอเขาก็หลุดออก แล้วลอยไปหาหรงซิว!
จักรพรรดิจยาเหวินตกใจ แล้วเอื้อมมือไปจับไว้ทันที แต่ก็พลาดท่าจนได้!
และในขณะที่เขากำลังพุ่งไปหาหรงซิว มังกรเพลิงโลกันต์ก็พุ่งตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วสะบัดหางมังกรของมัน ฟาดใส่จักรพรรดิจยาเหวินอย่างแรง!
ส่งผลให้จักรพรรดิจยาเหวินที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก โดยหางมังกรนั่นตบลงที่แผ่นหลังเต็มๆ!
ร่างของเขากระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้!
และตอนนี้ สิ่งนั้นก็ตกอยู่ในมือของหรงซิวแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นเพ่งมอง ก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยสีดำเส้นหนึ่ง พร้อมอันใดบางอย่างที่ห้อยติดกับมัน…แหวนหรือ?
มันคือแหวนทองสัมฤทธิ์ที่ถูกสลักด้วยอักขระสีดำประหลาดๆ ชวนให้ดูลึกลับชอบกล
หรงซิวหลุบตาลงและเหลือบมองไปที่แหวน แพขนตายาวสีดำเหล่านั้น ปิดบังแววตาของเขาไว้เสียมิด
เขาเม้มริมฝีปากเบาๆ เสริมให้สันกรามของเขานูนเด่นชัดขึ้นมา
สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แต่นั่นกลับทำให้ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระรัวด้วยความกังวล
“หรงซิว! คืนมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
จักรพรรดิจยาเหวินที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ตวัดตามองหรงซิวทันที
หรงซิวชักสีหน้าเล็กน้อย พลันสะบัดข้อมือ แล้วกระชากแหวนออกมาจากสร้อย
“ถ้าท่านแม่ยังอยู่ ท่านแม่จะยอมคืนมันให้ท่านแน่นอน”
“เจ้า!”
จักรพรรดิจยาเหวินต้องการโต้เถียงสักสองสามคำ แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาที่ลึกล้ำและทะลุทะลวงของหรงซิว เขาก็ไม่สามารถพูดอันใดได้อีก
เพราะหากเขาพูดอันใดออกไป อีกฝ่ายก็จะยิ่งเยาะเย้ยเขามากขึ้นเท่านั้น!
และในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีอื่น มังกรเพลิงโลกันต์ก็บินโฉบเข้ามาอีกครั้ง!
หนึ่งคนและหนึ่งสัตว์ร้าย จำต้องปะทะกัน!
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิจยาเหวินอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับหกแล้ว และมังกรเพลิงโลกันต์นั้นเป็นสัตว์อสูรระดับเจ็ด ดังนั้นผลการต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่น่าจะเหลื่อมล้ำกันมากเท่าไหร่
แต่ไม่นาน จักรพรรดิจยาเหวินก็เสียเปรียบและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
และที่สำคัญกว่านั้นคือ ดูเหมือนว่าพลังดั้งเดิมในร่างกายของเขาจะเริ่มกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง รวมทั้งลมปราณที่ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง!
หลังจากนั้น ขอบเขตการทะลวงของเขาก็ค่อยๆ ลดระดับลงทีละนิด!
แต่นี่มันก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป รอยแผลที่มังกรเพลิงโลกันต์ทิ้งไว้บนร่างกายของเขา ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุด จักรพรรดิจยาเหวินก็แทบสิ้นฤทธิ์! ความสามารถของเขาถดถอยลงไปอยู่ที่ระดับสี่ เป็นที่เรียบร้อย!
โครม!
และสุดท้ายจักรพรรดิจยาเหวินก็ทนไม่ไหว และล้มลงกับพื้นอย่างแรง!
ฝุ่นควันที่เกิดจากการปะทะฟุ้งกระจายไปทั่ว!
เขายกมือกุมหน้าอกและไอโขลกออกมาสองสามครั้ง ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด และลมหายใจที่เริ่มแผ่วเบาลงทีละน้อยราวใกล้สิ้นใจ
ซึ่งหรงซิวแทบไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาหมุนตัวแล้วเดินไปหาฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่พลันเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“มังกรเพลิงโลกันต์นั่น…ไม่พอใจจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?”
หรงซิวยิ้มเบาๆ และพูดอย่างเฉยเมย
“ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสัตว์อสูรตัวโปรดของท่านแม่”
เช่นนี้นี่เอง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน พลางมองไปที่หรงซิวอย่างระมัดระวัง และแอบถอนหายใจ
นางไม่เคยถามหรงซิวว่าเหตุใดเขาถึงแกล้งป่วย และนางเคยคิดว่าเขาทำเช่นนี้ เพราะต้องการบัลลังก์ แต่กลับคาดไม่ถึงว่า…เป้าหมายคือคนที่ครองบัลลังก์นั่นต่างหาก
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบมาหลายปี กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาต้องการคือปลิดชีพจักรพรรดิจยาเหวิน!
แต่ในขณะที่นางจะพูดอันใดบางอย่าง จู่ๆ กลับสัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาจากด้านข้าง
นางหันไปมองทันที
ก่อนจะเห็นหรงจิ่วที่กำลังมองหรงซิวด้ายสีหน้าซับซ้อน
อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ การที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเพียงนี้ เขาย่อมคาดเดาอันใดบางอย่างได้
“น้องเจ็ด ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้าพอจะมีเวลาให้ข้าหรือไม่”
หรงซิวเอ่ยตอบเสียงเบา
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
…
ณ บริเวณพื้นที่ด้านนอกตำหนักไท่เหอ ฉู่หลิวเยว่กำลังสนทนากับเยี่ยเหล่าผู้เป็นอาจารย์ของตน
“…ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เวลาผ่านไปเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง…”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเยี่ยเหล่าที่อยู่ต่อหน้าด้วยสีหน้ากล้ำกลืน
หลังจากที่หรงซิวและหรงจิ่วเข้าไปหารือกันในตำหนักไท่เหอ เยี่ยเหล่าก็ลากนางมาสอบถามไม่หยุด เพราะกลัวว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของนาง
“ท่านตรวจชีพจรให้ข้าไปแล้วมิใช่หรือ? นี่ท่านไม่เชื่อใจตัวเองหรือ ท่านอาจารย์?”
เยี่ยเหล่ากระแอมไอ “เพราะข้าเป็นห่วงลูกศิษย์มากต่างหาก!”
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเล็กน้อย
หากลูกศิษย์ของเขาไม่เก่งและแข็งแกร่งพอ นางอาจเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตรายเสียเอง!
ฉู่หลิวเยว่รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ผู้อาวุโสจงเยี่ยจากไปแล้วหรือ?”
เยี่ยเหล่าเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“ซือถูซิงเฉินตายไปแล้ว เช่นนั้นเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อการใดอีก? แต่หากเจ้านั่นยังดื้อดึงอยู่อีกล่ะก็ เขานั่นแหละที่จะเป็นรายต่อไป!”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“แต่ผู้อาวุโสจงเยี่ยเป็นคนที่จำฝังใจด้วยสิ เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้…”
“ฮ่าฮ่า เจ้านั่นก็เป็นแบบนั้นมาตลอด! แต่เขาไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้ทางหมิงเยว่เทียนชานรู้หรอก! เพราะไม่อย่างนั้น เขานั่นแหละจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเสียเอง! ถึงแม้ว่าจงเยี่ยจะเป็นถึงนักรบระดับหก แต่เขาก็ไม่กล้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงหรอก”
ฉู่หลิวเยว่ได้แต่เงียบและรับฟัง
ผู้อาวุโสจงเยี่ยและซือถูซิงเฉินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน มิเช่นนั้นเขาคงยื่นมือเข้ามาช่วยซือถูซิงเฉินเช่นนี้
และยิ่งมาเห็นซือถูซิงเฉินตายไปต่อหน้าต่อตา นางสัมผัสได้ว่า เขาต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่นอน…
“ไหนจะพวกแคว้นซิงหลัวอีก…ซือถูซิงเฉินเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้น…”
อีกทั้งยังเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของซือถูเหยียน
ภายใต้ความโกรธแค้นของพวกเขา อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็เป็นได้
เยี่ยเหล่าโบกมือไปมาเบาๆ
“อย่าได้กังวลไป ซือถูเหยียนไม่กล้ายุ่งหรอก เพราะซือถูซิงเฉินกลืนพลังของหม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาดเข้าไปเอง และนางถึงกับพยายามจะฆ่าเจ้าด้วย แต่สุดท้าย นางก็ต้องมาจบชีวิตด้วยเพราะผลจากการกระทำของตัวเอง ทุกคน ณ ที่นี้รับรู้และสามารถยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าได้! เช่นนี้แล้วซือถูเหยียนยังจะกล้าเอาผิดเจ้าอีกหรือ?”
แม้ว่าเขาจะโปรดปราณซือถูซิงเฉินมากเพียงใด แต่เขาย่อมไม่กล้านำชื่อเสียงของแคว้นซิงหลัวมาแลกกับความผิดของนางแน่นอน
ฉะนั้นสุดท้ายแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็จะกลายเป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างเด็กน้อยทั้งสองเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ พลันมองไปที่ประตูที่ล็อคไว้
“เดาไม่ออกเลยว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอันใดกันอยู่”
จักรพรรดิจยาเหวินถูกคุมขัง และมังกรเพลิงโลกันต์เองก็ผนึกอยู่ในค่ายกลซวนหมิงเช่นกัน
กฎระเบียบทั้งหมดที่เคยนำมาใช้ก่อนนี้ ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง
และดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างจะค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ
แต่…
ทุกคนย่อมทราบดีว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสองคนที่อยู่ในห้องนั้น!
เยี่ยเหล่ามองตามสายตาของนาง และถอนหายใจยาวๆ
“…คิดไม่ถึงเลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้… ทุกอย่างจะ…”
ทว่าจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็ถามแทรกขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ ว่าฝ่าบาทจะ…”
เยี่ยเหล่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แต่ก็ส่ายหัวอีกครั้ง
“ข้ารู้เพียงว่าตอนนั้นฝ่าบาทแตกคอกันกับหรูเยว่ และเขาได้ทำผิดต่อนาง แต่ข้าก็ไม่รู้ว่า…มันคือเรื่องอันใด?”
แต่ในเมื่อเรื่องมันจบลงแบบนี้ จะไปโทษใครได้อีกเล่า?
ฉู่หลิวเยว่คิดแล้วคิดอีก พลันเอ่ยถาม
“แล้วพระสนม…มาจากพรมแดนม่านฟ้าใช่หรือไม่?”
เยี่ยเหล่าชะงัก พลันยิ้มอย่างขมขื่น
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่มั่นใจ นางเจอกับฝ่าบาทโดยบังเอิญขณะที่ออกไปราชการ นางบอกแค่ว่านางเป็นเด็กกำพร้าที่มาจากครอบครัวยาจก ถึงมันจะฟังดูแปลกๆ… แต่ก็ไม่มีใครรู้ความหลังที่แน่นอนของนาง ย้อนกลับไปตอนนั้น นางเป็นที่รักใคร่ของฝ่าบาทมากๆ และมีคนมากมายที่แอบตรวจสอบประวัติของนาง แต่ไม่พบอันใดเลย”
ฉู่หลิวเยว่ฟังแล้วพยักหน้าตาม
เช่นนี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง
แอด!
ทว่าทันใดนั้นประตูของตำหนักไท่เหอก็เปิดออก!