ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 470 แย่ง
ตอนที่ 470 แย่ง [รีไรท์]
เจี่ยนเฟิงฉือโยนตราสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นไปบนอากาศ
พลันการบีบบังคับของพลังปราณที่แผ่วเบา ก็แผ่ขยายออกมาจากมัน
เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยช้าๆ เชิงเน้นเสียง
“ข้า เจี่ยนเฟิงฉือแห่งภูเขาเขี้ยวมังกร!”
“อดีตเคยมีศักดิ์เป็นองค์ชายเจี่ยน!”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเจี่ยนเฟิงฉือ เสียงของทหารที่ฝั่งตรงข้ามที่เคยดุดัน ก็เปลี่ยนเป็นความเคารพในทันที
“มิทราบ สตรีที่ยืนอยู่ข้างท่านผู้นั้นเป็น…”
“นำตราสัญลักษณ์ที่มู่ชิงเห่อมอบให้เจ้าออกมาสิ” เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยเสียงต่ำ
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ และหยิบตราสัญลักษณ์ออกมา พลันโยนขึ้นไปในอากาศ
“ข้า ฉู่หลิวเยว่แห่งแคว้นเย่าเฉิน!”
นางเอ่ยเสียงดังฟังชัด แต่ที่จริงแล้ว ฝ่ามือของนางกำลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วว่า ตราสัญลักษณ์ของทั้งสองคนถูกต้อง ชายคนนั้นกล่าวว่า
“รองแม่ทัพมู่ได้แจ้งทางเราไว้แล้วว่าท่านทั้งสองจะมา เชิญท่านก้าวเข้ามา แล้วผ่านเข้าไปได้เลยขอรับ…”
พอเขาพูดจบก็เกิดคลื่นความผันผวนขึ้นบนพรมแดนน่านฟ้า!
จากนั้นก็มีสะพานทอดยาวจากฝั่งของพรมแดนม่านฟ้า ยืดขยายพาดมาจนถึงบริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่!
เจี่ยนเฟิงฉือและฉู่หลิวเยว่มองหน้ากันทันที
“ไปกันเถอะ!”
สิ้นเสียงเขาก็ยกเท้าเดินขึ้นไปบนสะพานยาวด้านหน้า
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินตามเขาไปติดๆ
ทั้งสองคนย้ำเท้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนใกล้กับทางเข้าพรมแดน เข้าไปทุกที
กระทั่งฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นใบหน้าของทหารเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อมองไปยังทางเข้าที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“องค์ชายเจี่ยน ท่านหญิงฉู่ เชิญทางนี้…”
ทว่าทันใดนั้นก็มีคลื่นความผันผวนซัดเข้ามา!
ฉู่หลิวเยว่หันหลังกลับไปมองทันควัน และเห็นร่างสองร่างปรากฏขึ้นบนหน้าผา
พวกเขาเป็นคู่ชายหญิงที่ยังดูเยาว์วัยอย่างมาก
เมื่อเห็นสะพานยาวที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ชายหนุ่มคนนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
“สะพานปรากฏขึ้นแล้ว! อวิ๋นจื่อ คราวนี้พวกเราไปทันแน่ เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะสายเกินไปแล้วนะ?”
เด็กสาวคนนั้นหัวเราะร่า
“อวิ๋นจื่อไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ไม่แปลกที่จะรู้สึกประหม่า เหตุใดลูกพี่ลูกน้องอย่างเจ้าถึงกล้าล้อข้าเช่นนี้? อีกอย่าง พาข้ามาด้วยเช่นนี้ เจ้าจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ?”
ชายคนนั้นหัวเราะ
“ยังมีเวลาก่อนถึงเส้นตาย เจ้าวางใจได้! ไปกันเถอะ! คราวนี้ เดี๋ยวน้องชายอย่างข้า จะพาเจ้าไปชมราชวงศ์เทียนลิ่งเอง!”
สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความหวัง
ชายคนนั้นโยนตราสัญลักษณ์ในมือของเขา
“ข้า เฉินเซียหยวน ศิษย์ของหลิงอวิ๋นจง และผู้ที่มาด้วยก็คือ จ้าวอวิ๋นจื่อ ผู้ที่ครอบครองชีพจรตี้จิงแห่งแคว้นซุยหยาง!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
ที่แท้ก็คนของหลิงอวิ๋นจงนี่เอง
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกับนางที่ถูกพามาที่นี่ ด้วยสาเหตุที่ว่าครอบครองชีพจรตี้จิงไว้กับตัว
นางคิดว่ามีเพียงคนของมู่ชิงเห่อและทหารม้าทมิฬเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…หลิงอวิ๋นจงก็จะส่งคนของตนมาเช่นกัน
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในเรื่องนี้ จะเกินความคาดหมายของนางไปมาก…
หลังจากที่เฉินเซียหยวนพูดจบ เขาก็เก็บตราสัญลักษณ์และเดินไปทางสะพานด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง
“ช้าก่อน”
แต่จู่ๆ เจี่ยนเฟิงฉือก็เอ่ยแย้งขึ้นมา
“ข้ากับฉู่หลิวเยว่เป็นคนอัญเชิญสะพานนี้ออกมา ตามกฎแล้ว พวกเจ้าต้องรอให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบคุณสมบัติให้เสร็จเสียก่อน ถึงจะอัญเชิญสะพานขึ้นมาใหม่ได้ มิเช่นนั้นหากเจ้าใช้สะพานร่วมกับเรา…แล้วเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาเล่า?”
และยังไม่ทันที่ทหารผู้รับผิดชอบดูและได้เอ่ยปาก เฉินเซียเหยวนที่อยู่ข้างหลังเขา กลับหัวเราะและพูดว่า
“ดูๆ แล้วพวกท่านสองคนก็เพิ่งมาถึงมิใช่หรือ เช่นนั้นก็แบ่งสะพานให้เราด้วยก็ไม่เห็นจะเสียหายเลย
หนิ? เพื่อไม่ต้องเสียเวลาอัญเชิญสะพานขึ้นมาใหม่ พวกเราก็ข้ามไปพร้อมๆ กันเลยดีหรือไม่?”
เจี่ยนเฟิงฉือสะบัดแขนทั้งสองข้าง พลันเหยียดยิ้มเย็นชา
“พวกเจ้าคงไม่รู้จักคำว่ามาก่อนมาหลังสินะ มีหูสองข้างไว้ขั้นสมองเฉยๆ หรืออย่างใด ที่ข้าพูดไปเจ้าแยกแยะไม่ได้เลยหรือ?”
กล้าถามได้อย่างใดว่าดีหรือไม่ ดีกับผีน่ะสิ!
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอเบาๆ
นางเกือบลืมไปว่าภูเขาเขี้ยวมังกรและหลิงอวิ๋นจงนั้นเป็นศัตรูกันมาช้านานตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว และพวกเขาก็มีความแค้นต่อกันนับไม่ถ้วน ดังนั้นเจี่ยนเฟิงฉือถึงไม่พอใจเฉินเซียหยวนที่มาจากหลิงอวิ๋นจงอย่างใดล่ะ
และด้วยบุคลิกที่จู้จี้จุกจิกของเขา หากเป็นปกติเขาก็แทบไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และยิ่งเป็นสองคนนี้อีก มีหรือเขาจะยอม?
เฉินเซียหยวนหน้าบึ้งตึง เพราะคำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือ
เขาแค่ขอข้ามสะพานไปด้วยกัน และมันแทบไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่อีกฝ่ายกลับก้าวร้าวมาก ราวกับเกลียดเขามาตั้งแต่ชาติปางก่อน!
เมื่อโดนพูดใส่ต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกอับอายขายขี้หน้า!
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพาลูกพี่ลูกน้องอย่างจ้าวอวิ๋นจื่อมาด้วย ถ้าอีกฝ่ายจดจำฉากนี้ได้ขึ้นใจ แล้วในอนาคตเขาจะกล้าสู้หน้าญาติผู้น้องของตัวเองได้อย่างใด!?
น้ำเสียงของเขาเรียบตึงขึ้นมาทันตา
“ท่านชาย ข้าแค่ขอความช่วยเหลือจากท่าน แต่เหตุใดท่านจักพูดเยี่ยงนี้?”
เจี่ยนเฟิงฉือยักไหล่
“ขอโทษแล้วกัน แต่ข้ามันพวกไร้น้ำใจ”
เฉินเซียหยวนหัวเราะหึด้วยความโมโห เขาจัดเสื้อผ้าของตัวเองและเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่รู้สถานะของข้านะ ท่านชาย ข้าคือศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักหลิงอวิ๋นจง…”
ทว่าจู่ๆ เจี่ยนเฟิงฉือกลับยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขา แล้วส่ายนิ้วไปมา เชิงต้องการขัดคำพูดของอีกฝ่าย
“เหอะ ข้าไม่ได้สนใจเรื่องสถานะของพวกเจ้าสองคนเลยสักนิด”
ขณะพูด เขาหันไปมองทหารรักษาการณ์และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นทหารสองคนที่ยืนอยู่เผ้าทางเข้าทั้งซ้ายและขวา หันมองกันและกัน พลันตวัดสายตาไปมองพวกของเฉินเซียหยวนสองคนจากระยะไกลด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“พวกเจ้ารอก่อน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเซียหยวนหยุดชะงักทันที
สถานะยามอยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่งของหลิงอวิ๋นจงนั้นสูงส่งมาก ไม่ว่าจะไปที่ใด เขาจะได้รับการต้อนรับอย่างดีมาโดยตลอด
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้!
“พวกเจ้า…”
แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปโต้แย้ง กลับถูกจ้าวอวิ๋นจื่อดึงรั้งจากทางข้างหลังเสียก่อน
จ้าวอวิ๋นจื่อเอ่ยเสียงเบา
“น้องชาย อย่าทะเลาะกันเลยนะ ปล่อยให้พวกเขาไปก่อนเถอะ”
ส่วนเจี่ยนเฟิงฉือที่ได้ก้าวเข้าไปในทางเข้าแล้วก้าวหนึ่ง ก็ถึงกลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขามองย้อนกลับไปและหัวเราะเบาๆ
ว่าอย่างใดนะ?!
พอฟังแล้วเหตุใดเหมือนว่าพวกเขากลายเป็นคนผิดเสียอย่างนั้น?
ปกติคนของหลิงอวิ๋นจงก็หน้าด้านอยู่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่อีกฝ่ายพามาจะไร้ยางอายยิ่งกว่า!
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจและเดินเข้าไปในทางเข้า
พลันลำแสงตรวจสอบจากพรมแดนม่านฟ้า ก็กวาดไปทั่วร่างกายของนาง ราวกับว่ามันมองทะลุผ่านตัวนางได้อย่างสมบูรณ์ภายไม่กี่วินาที!
ปี๊บ!
จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้น!
เป็นสัญญาณว่าพรมแดนม่านฟ้าตรวจพบสิ่งผิดปกติบางอย่าง!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจตัวแข็งทื่อ!
หรือจะเป็นเพราะหยดน้ำที่อยู่ในร่ายกายของนาง!
ทหารที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นการสิ่งผิดปกตินี้ และหันมาจ้องฉู่หลิวเยว่อย่างจับผิดทันที!
แม้แต่เจี่ยนเฟิงฉื่อก็ยังหันมามอง
ฉู่หลิวเยว่เริ่มตั้งสมาธิ และบังคับความผันผวนของหยดน้ำภายในให้สงบลง!
จากนั้นเสียงแปลกๆ ก็หายไป
“เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?”
เหล่าทหารที่คอยตรวจตรา จ้องมองนางด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้
ฉู่หลิวเยว่จึงส่ายหัวอย่างไร้เดียงสา
“ข้า…ข้าก็ไม่ทราบ”
เจี่ยนเฟิงฉือจ้องมองไปยังพรมแดนม่านฟ้าครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้ว
“ก็แค่คลื่นความผันผวนทั่วไป”
ได้ยินเช่นนั้นนายทหารก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
บางครั้งพรมแดนม่านฟ้าก็เป็นเช่นนี้บ่อยๆ
หากเกิดสิ่งผิดปกติกับฉู่หลิวเยว่ขึ้นจริงๆ การเคลื่อนไหวเหล่านั้นจะไม่หายวับไปง่ายๆ แน่นอน
และเมื่อเห็นว่าสายตาของคนเหล่านั้นยังคงมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย เจี่ยนเฟิงฉือจึงยิ้มและพูดว่า
“พวกเจ้าระแคะระคายแขกของมู่ชิงเห่ออย่างนั้นหรือ?”
พลันนายทหารทั้งกองก็หน้าซีดเผือด
“มิกล้าขอรับ เชิญท่านทั้งสอง…”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็สามารถยกหินออกจากอกได้ ก่อนจะยกเท้าขึ้นและเดินไปข้างหน้า ข้ามผ่านพรมแดนม่านฟ้านี้ไป!