ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 471 ไร้ความสามารถ
ตอนที่ 471 ไร้ความสามารถ [รีไรท์]
เมื่อก้าวเขตพรมแดนม่านฟ้า ก็พบกับท้องนภาที่สว่างสดใส!
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นบังตา และหลังจากชินกับแสงแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้า!
เหนือท้องฟ้าสีคราม มีก้อนเมฆสีฟ้าอมม่วงจับตัวกันเป็นกลุ่ม และลอยไปตามกระแสลม
พร้อมกับแผ่นดินสีดำที่กว้างใหญ่ไพศาล ครั้นมองแวบเดียว ก็สัมผัสได้ถึงอิสระอันไร้ขอบเขต
ณ บริเวณที่ผืนฟ้าและโลกกำลังบรรจบกันนั้น เกิดเป็นแนวเส้นสีขาวสว่างไสวทอดยาวออกไปตามแนวเส้นขอบฟ้า อีกทั้งแสงสีส้มเหลืองอ่อนๆ ที่ปรากฏอยู่หลังก้อนเมฆ จนเกิดเป็นภาพของหมู่เมฆที่ถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงอันอบอุ่น
ไม่นานค่ายกลเคลื่อนย้ายสองสามชุดก็โผล่ขึ้นมาบนดิน และเริ่มทำการหมุนวนช้าๆ
พลันพลังปราณที่ชวนกดดันแปลกๆ ก็แพร่กระจายออกไป!
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจเล็กน้อย
ฉากเหล่านี้ทั้งหมดช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก
ทว่าการกลับมาของนางในครั้งนี้นั้น นางกลับมาด้วยสภาพจิตใจที่ต่างไปจากเดิม และแม้กระทั่งตัวตนของนางเองก็เปลี่ยนไป ราวกับเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง
“ที่นี่คือพรมแดนทางเหนือของราชวงศ์เทียนลิ่ง และมีค่ายกลเคลื่อนย้ายซ่อนอยู่ทั้งหมด หนึ่งร้อยแปด ชุด เพื่อใช้ไปยังที่ต่างๆ ในราชวงศ์เทียนลิ่ง”
เจี่ยนเฟิงฉือเดินเข้ามาจากด้านหลัง และหยุดยืนอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะชี้ไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารที่ใหญ่ที่สุดตรงหน้าพวกเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดนั่นคือเส้นทางที่จะนำไปสู่เมืองซีหลิง หรือเมืองหลวงของราชวงศ์เทียนลิ่ง มันสามารถลำเลียงส่งผู้คนนับพันได้ในครั้งเดียว”
โดยปกติแล้ว จะต้องมีปรมาจารย์ขั้นสูงและนักรบที่แข็งแกร่งเพื่อร่วมมือกันการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ และมันต้องใช้พลังปราณเป็นจำนวนมาก
ซึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบปกติทั่วไป จะสามารถรับส่งคนได้เพียงครั้งละไม่เกินสิบคนเท่านั้น
แต่ก็เป็นอันใดที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นทั่วไป
แม้แต่ตอนเคลื่อนย้ายราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมด ก็มีเพียงเที่ยวล่ะห้าคนเท่านั้น
เพราะทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย มันจะต้องใช้พลังปราณจำนวณมาก
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ
นางเคลื่อนย้ายจากเมืองหลวงมายังพรมแดนม่านฟ้า แน่นอนว่านางย่อมคุ้นเคยกับค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลนี่
“เป็นเช่นไร? มันเหมือนที่เจ้าคิดไว้หรือเปล่า?”
เจี่ยนเฟิงฉือถามติดตลก
ในมุมมองของเจี่ยนเฟิงฉือ เด็กสาวธรรมดาเช่นนาง จักต้องเต็มไปด้วยความใคร่รู้ และวาดฝันจินตนาการถึงราชวงศ์เทียนลิ่งไว้มากมายแน่
แต่ก็ไม่ใช่แค่คนที่อยู่นอกพรมแดนม่านฟ้าเท่านั้น แม้แต่คนในที่มีข้อมูล ทว่าไม่เคยเห็นพรมแดนม่านฟ้าด้วยตาตัวเอง ก็มักจะตกใจกับฉากนี้ เมื่อพวกเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก พลางพยักหน้า
“ราชวงศ์เทียนลิ่ง…สมชื่อจริงๆ”
เจี่ยนเฟิงฉือเลิกคิ้ว
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น รอเจ้าถึงซีหลิงก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะรู้ว่ายังมีเรื่องสนุกๆ มากมายรอเจ้าอยู่!”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาด้วยหางตา
นางไม่สนใจ “เรื่องสนุกๆ” ของเขาเลยสักนิด
เจี่ยนเฟิงฉือหน้าเสีย พลันกำหมัดท่าทีกระแอมไอ
“อะแฮ่ม นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกเรารีบเดินไปดีกว่า”
เมื่อพูดจบเขาก็รีบสาวเท้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายทันควัน
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีสายลมเย็นวาบพุ่งเข้ามามาจากทางด้านหลังของพวกเขา!
ร่างสองร่างที่มาพร้อมกับลมปราณอันเย็นยะเยือกนั่น พุ่งตัวตัดหน้าพวกเขา แล้วกระโดดขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาทันที
พลังนั่นเป็นของสองพี่น้องคนที่ตามหลังพวกเขามาเมื่อครู่ก่อน
เฉินเซียหยวนจ้องหน้าพวกฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับจ้าวอวิ๋นจื่อด้วยเสียงดังฟังชัด
“ไม่ต้องกังวลนะ อวิ๋นจื่อ หากใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ เราจะไปถึงซีหลิงได้ภายในไม่กี่นาที พวกเราจะต้องไปทันแน่นอน”
ดวงตาที่สวยงามของจ้าวอวิ๋นจื่อเบิกกว้าง พลางทำหน้าประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่ในโลกด้วย…”
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังปลอดภัยมากด้วย ที่นี่มีค่ายกลหลายร้อยรูปแบบ และมันก็เพียงพอที่จะปิดกั้นความผันผวนทั้งหมดในอากาศได้ ซึ่งไม่ต่างกับการออกไปเที่ยวเล่นนอกแคว้นเลย”
เฉินเซียหยวนพูดเสียงเรียบ ทว่าใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ตอนที่ข้าเข้าเป็นศิษย์ของหลิงอวิ๋นจง ข้าก็เคยเข้าร่วมการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน”
พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของจ้าวอวิ๋นจื่อพลันทอประกายวิบวับ และพูดด้วยความชื่นชม
“หลิงอวิ๋นจงช่างยิ่งใหญ่นัก! หากน้องชายของข้าสามารถเข้าไปได้ และกลายเป็นที่ยอมรับในฐานะศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักล่ะก็ แสดงว่าน้องต้องเป็นนักรบที่เก่งกาจมากแน่ๆ!”
เฉินเซียหยวนรู้สึกโล่งใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความลำพองตน
“เมื่อถึงซีหลิงแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่หลิงอวิ๋นจงเอง!”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระคุณมากเลย น้องชายของข้า!”
เมื่อพูดจบ เฉินเซียหยวนก็เริ่มเตรียมทำการเคลื่อนย้าย
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือจางหายไปนานแล้ว แววตาของเขาเย็นชาขึ้นมาราวผลึกน้ำแข็ง
“หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงของเขาเย็นเยียบราวกับมีก้อนน้ำแข็งอยู่ภายใน ส่งผลให้คนที่ได้ยินขนลุกซู่ไปตามๆ กัน
แม้จะเอ่ยออกมาราวเกียจคร้าน แต่กลับแฝงได้ด้วยความองอาจ
เฉินเซียหยวนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะตวัดสายตามองอีกฝ่าย
เขาไล่สายตากวาดมองเจี่ยนเฟิงฉือ พลันขมวดคิ้ว
เขาไม่รู้จักชายคนนี้ แต่ท่าทีของฝ่ายนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาเลย…
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าตัดหน้าข้าเช่นนั้น?”
เฉินเซียหยวนหัวเราะราวไม่สนใจ
“ข้าไม่ได้ตัดหน้าเจ้าเสียหน่อย เดิมที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ก็ไม่ได้มีกฎใช้ตายตัว ใครมาก่อนก็ได้ใช้ก่อน และพวกข้าก็ขึ้นมาเหยียบมันก่อนเจ้า ฉะนั้นพวกข้าต้องได้ใช้ก่อน!”
เจี่ยนเฟิงฉือถึงกับหูผึ่ง
“เจ้าว่าอย่างใดนะ?”
เจ้าเด็กนี่เพี้ยนไปแล้วหรือ?
เฉินเซียหยวนฮึมฮัมในลำคอ พลันตอบ
“อ่า แล้วก็ พวกข้าไม่ชอบใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายร่วมกับใคร ฉะนั้น พวกเจ้าก็รอรอบต่อไปแล้วกัน!
อวิ๋นจื่อ ไปเร็ว!”
ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะขยับได้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงประชดประชันมาจากด้านหลัง
“คนของหลิงอวิ๋นจงนี่หน้าด้านหน้าทนไม่เปลี่ยนจริงๆ?”
คำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือ ทำให้หัวใจของเฉินเซียหยวนลุกเป็นไฟ
เขาหันขวับกลับไปเถียงด้วยความโมโห
“เจ้าว่าอย่างใดนะ!?”
เจี่ยนเฟิงฉือหัวเราะเยาะเย้ย
“อันใด เจ้าหูไม่ดีหรือ?”
“อวดดี! กล้าดูถูกอาจารย์ของข้า เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
ก่อนหน้านี้เขาทำเป็นไม่รับรู้ เพราะไม่อยากเข้าไปพัวพันกับสองคนนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหยาบคาบใส่ท่านอาจารย์ของเขา มีหรือที่เขาจะทนไหว!
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ ย้อนกลับสมัยนั้น เจ้าเด็กน้อยเจี่ยนเฟิงฉือก็เคยมายืนชี้หน้าด่าผู้อาวุโสทั้งเก้าของ
หลิงอวิ๋นจงมาแล้ว แม้แต่เจ้าสำนักเขายังเคยด่าเลย และตอนนี้ก็ยังต้องมาด่ากระทั่งลูกศิษย์ของอีกฝ่ายอีก!
การที่เฉินเซียหยวนไม่รู้จักเจี่ยนเฟิงฉือ นั่นหมายความว่าเจ้าตัวยังเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำอยู่
แต่ถ้าพูดตามตรง เจี่ยนเฟิงฉือกับเฉินเซียหยวนนั้นนิสัยเหมือนกันมาก
แต่ทว่าเฉินเซียหยวนคงไม่คิดเช่นนั้น
เขาก้าวไปข้างหน้า พร้อมพลังปราณที่พุ่งพล่านออกมาจากร่าง
“เจ้ามาจากสำนักใด เอ่ยชื่อเสียงเรียงนามมาเสีย!”
เจี่ยนเฟิงฉือลูบปลายคางราวขบคิด
“คนอย่างเจ้า ไม่ควรได้รู้จักชื่อของข้าหรอก”
เฉินเซียหยวนแทบสำลักอากาศ เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะหยิ่งผยองนัก!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ยเสียงแข็ง
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าคือเฉินเซียหยวน ศิษย์ของหลิงอวิ๋นจง! หากเจ้ายังหยาบคายอีก ก็อย่าหาว่าข้าทำเกินไปแล้วกัน!”
“อ่อ…”
เจี่ยนเฟิงฉือทำหน้าตารับรู้ ก่อนจะเชิดคางขึ้นและพูดกับฉู่หลิวเยว่
“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? หลิงอวิ๋นจงมีศิษย์ทั้งหมด หนึ่งร้อยเก้าสิบเจ็ดคน และเขาก็เป็นแค่หนึ่งใน หนึ่งร้อยเก้าสิบเจ็ด คนนั้น! ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน!”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ทุกคนย่อมรู้ว่าเขากำลังประชด
ใบหน้าของเฉินเซียหยวนมืดมนทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นว่า
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังดูหมิ่นสถานะของข้าอยู่เลยนะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใหญ่โตมาจากที่ใด แต่ถึงเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็พอรู้ว่าเจ้าคงไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์เพียงนั้น?”
ขณะที่พูดเช่นนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังฉู่หลิวเยว่ พลางเอ่ยเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม
“เพราะข้าเกิดความสงสัยว่า คนแบบใดกันที่จะไร้ความสามารถ จนหาได้เพียงคู่หูที่เป็นนักรบระดับสาม?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
นี่เขา…กำลังดูถูกนางอยู่หรือ?