ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 474 มาได้จังหวะพอดี
ตอนที่ 474 มาได้จังหวะพอดี [รีไรท์]
ที่นี่คือจตุรัสผิงเหลียงนอกเมืองซีหลิง
จัตุรัสทุกแห่งล้วนใช้ไพฑูรย์หล่อราคาสูงที่หาได้ยาก ครอบครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของจัตุรัส
อีกทั้งบนจัตุรัสแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายจำนวนมาก
ซึ่งค่ายกลอันที่พวกฉู่หลิวเยว่ใช้นั้น ตั้งอยู่ใจกลางของจัตุรัสพอดี
ในตอนที่พวกเขาทั้งสองคนก้าวออกมาจากภายในอุโมงค์ช่องว่างจตุรัสที่ครึกครื้นคึกคักและมีชีวิตชีวาพลันเงียบลงในบัดดล
สายตานับไม่ถ้วนคู่ล้วนจับจ้องมาทางนี้!
ณ ที่แห่งนี้ ทุกวันล้วนมีคนมากมายเดินทางเข้ามา และมีคนไม่น้อยเดินทางออกไปจากซีหลิงเช่นกัน ดังนั้นจตุรัสแห่งนี้จึงมีผู้คนผ่านมาและผ่านไป หลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ทว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ใจกลาง เนื่องจากปลายทางคือพรมแดนม่านฟ้าทางชายแดนเหนือ ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงไม่มีคนใช้
ตอนนี้กลับมีคนโผล่ออกมาถึงสองคน ย่อมดึงดูดความสนใจคนจำนวนไม่น้อย
หลังจากเห็นรูปลักษณ์และบุคลิกของคนทั้งสองชัดเจนแล้ว จัตุรัสก็ยิ่งเงียบลงมากกว่าเก่า
ฝ่ายบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อแพรสีน้ำเงิน เอวห้อยหยกพกสีขาวเรียบง่ายราวกับภาพร่างนุ่มนวลละมุนตา
นัยน์ตาของเขาก็มีสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน ยามเคลื่อนสายตามอง ราวกับว่าจิตวิญญาณแห่งน้ำแข็งใสสะอาดแลกระจ่างชัดได้ปรากฏออกมา
หางตาและหางคิ้วของเขาเปี่ยมไปด้วยความพราวเสน่ห์ทำให้ดวงตาคู่นั้นที่เดิมทีเหมือนดั่งประกายน้ำแข็งในเหมันตฤดู กลายเป็นระลอกคลื่นที่กระเพื่อมไหวน้อยๆ
เขากวาดสายตาช้าๆ มองคราหนึ่ง ทำสตรีไม่น้อยใบหน้าแดงระเรื่อ
รูปร่างโดดเด่นสง่างามเป็นที่จดจำเช่นนี้ ช่างพบเจอได้ยากเสียจริง
ทว่าสตรีที่อยู่ข้างกายเขาก็หาได้ด้อยไปกว่ากันไม่เพียงแต่จะเพิ่มความพร่างพรายแก่สายตามากกว่าเก่า
นางมีรูปร่างผอมบางอ่อนช้อย สวมชุดสีแดง เรือนผมสีดำขลับมัดไว้อย่างเรียบง่าย ทั่วทั้งร่างไร้ซึ่งเครื่องประดับกายที่มากเกินความจำเป็น
ผิวพรรณของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ คิ้วงามดำขลับราวภูเขาที่ไกลออกไป จมูกโด่งราวกับหยกเนื้อดี ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มราวกับผลอิงเถา ที่พิเศษยิ่งกว่าคือดวงตาคู่นั้น ราวกับหยกนิลเนื้อบริสุทธิ์ชวนตราตรึงใจ
ยามแสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนนัยน์ตาของนางราวกับภาพสะท้อนแม่น้ำสวรรค์บนผืนฟ้ายามราตรี
อีกทั้งบริเวณหน้าผากของนางยังปรากฏบรรยากาศสูงส่งออกมาจางๆ
เมื่อรวมกับบุคลิกที่น่าตราตรึงใจ สามารถทำให้คนเคารพเทิดทูน ยอมศิโรราบได้โดยไม่รู้ตัว
สตรีเช่นนี้ ช่างงดงามเหลือคณา ทั้งยังคุณธรรมสูงส่ง!
ถึงแม้ว่าบุรุษไม่น้อยจะใบหน้าแดงเถือกถึงหู ใจเต้นระรัวราวกับถูกกระหน่ำตี แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้า
“พวกเขาออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนั้น หรือว่าจะมาจากพรมแดนม่านฟ้าข้างนอกนั่นกัน?”
ทันใดนั้น ท่ามกลางฝูงชนก็มีเสียงกระซิบเบาๆ แฝงไปด้วยความสงสัยดังขึ้นมา
คำพูดนี้ทำลายความเงียบลงได้ในที่สุด
เหล่าฝูงชนล้วนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้จะทำเช่นไร
“คงมิผิดนั่นไม่ใช่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะไปชายแดนเหนือหรอกหรือ… เมื่อไม่นานมานี้มีคนไม่น้อยเลยที่เข้าๆ ออกๆ ที่นั่น”
“บุรุษผู้นั้นจะว่าไปแล้วดูคุ้นตายิ่งนัก… นัยน์ตาสีน้ำเงิน… เนตรบรรจุวสันตฤดู… นั่นมิใช่นายน้อยเจี่ยนหรอกหรือ!?”
“นายน้อยเจี่ยนผู้ใดกัน?”
“ผู้ที่มาจากภูเขาเขี้ยวมังกรเช่นไรเล่า พวกเจ้าลืมแล้วหรือ…”
ผู้คนจำนวนมากถอนหายใจ
เจี่ยนเฟิงฉือ!
ปกติแล้ว ร่องรอยของคนผู้นี้เป็นความลับ บวกกับสถานะที่สูงส่ง คนที่เคยพบเจอเขาจึงมีไม่มากนัก ทว่าในเมืองซีหลิง ชื่อเสียงของเขากลับกระฉ่อนไปทั่ว!
แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ แต่บุรุษผู้นี้มีลักษณะตรงตามข่าวลือที่ว่าไว้ไม่มีผิด!
อย่างใดก็ต้องเป็นเขาแล้ว!
“หากใช่เจี่ยนเฟิงฉือจริง สตรีที่อยู่ข้างเขาก็คือ… อ๊า! เห็นได้ชัดเลยว่านางคือนักรบระดับสาม!? ดูไปดูมาน่าจะอายุสิบห้าสิบหกหนาวได้ เหตุใดถึงยังเป็นเพียงนักรบระดับสามเล่า?!”
ฝูงชนพากันเงียบ
แววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและนุ่มนวลฉับพลันก็เปลี่ยนไปมีแววของความเปราะบางอยู่บ้าง
“นั่นต้องเป็นเพราะว่ามาจากด้านนอกพรมแดนม่านฟ้าเป็นแน่!” มีคนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หา? นักพรตระดับเท่านี้ ตอนนี้ยังเข้ามาได้อยู่หรือ? เหล่านักพรตที่มาก่อนหน้า อย่างต่ำล้วนผ่านระดับสี่แล้วหนา…”
“โตมาสะสวยถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ความสามารถไม่ถึงไหน…”
“ความสามารถเท่านี้ยังกล้ามาซีหลิง ต้องมีผู้หนุนหลังอยู่แน่?”
“ข้าว่าผู้หนุนหลังที่ดีที่สุดของนาง ในที่นี้คงเป็นใบหน้านั้นของนางกระมัง!”
สตรีบางคนเอ่ยด้วยเสียงแหลมเล็ก เรียกเสียงหัวเราะได้ทั่ว
เจี่ยนเฟิงฉือเลิกคิ้วกระบี่ขึ้น หัวเราะเสียงต่ำแล้วเอ่ย
“พวกนางชมว่าเจ้างามแน่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองเขาอย่างเฉื่อยชาครั้งหนึ่ง
ความสนใจของคนผู้นี้ มิเหมือนผู้ใดเลยเสียจริง
“มองข้าด้วยเหตุใด? ตัวข้าน่ะเป็นต้นหยกลู่ลม ไหนเลยจะไปอิจฉารูปลักษณ์ของเจ้า”
ทว่าฉู่หลิวเยว่สีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับว่าไม่เคยนำเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว นางคาดการณ์บางส่วนไว้แต่แรกเสียด้วยซ้ำ
มาจากด้านนอกพรมแดนม่านฟ้า อีกทั้งเป็นเพียงแค่นักรบระดับสาม มีเพียงสองเงื่อนไขนี้ ก็เพียงพอที่จะนำปัญหามาให้นางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น โดยพื้นฐานแล้ว นางสู้เพียงตัวคนเดียว ไร้ซึ่งภูมิหลังและผู้สนับสนุน
ถึงตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดต่อแล้ว
เมืองซีหลิงอยู่ในการปกครองของราชวงศ์เทียนลิ่งมีตำแหน่งที่มีเกียรติสูงสุดอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แล้วยังมี…
นักพรตที่แข็งแกร่งที่สุด!
จะอยู่ที่นี่ พลังเท่านั้นที่เป็นที่ยอมรับ!
ไม่มีที่เหลือพอให้ผู้อ่อนแอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่!
จะอยู่ในเมืองซีหลิงได้ ต้องโหดเหี้ยมไร้เมตตา!
ดังนั้นก่อนมาที่นี่ นางจึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่เผชิญอยู่ตอนนี้ จะนับเป็นอันใดได้
นางมองไปยังสตรีที่จับกลุ่มกันหัวเราะ
สีหน้าของนางหาได้เปลี่ยนไม่ภายในนัยน์ตาใสสะอาดเป็นระลอกคลื่นกลับเหมือนกักเก็บแรงกดดันมหาศาล ทำให้คนร้อนรน!
เสียงหัวเราะของสตรีกลุ่มนั้นค่อยๆ แผ่วลง ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจเกิดความหวาดหวั่น พากันหลีกเลี่ยงสายตาของฉู่หลิวเยว่
ครั้นฉู่หลิวเยว่เรียกความสนใจกลับคืนจนพอใจแล้ว ก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นก็มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมาข้างหน้า ขวางเส้นทางเดินของฉู่หลิวเยว่เอาไว้
เขามีร่างกายแข็งแรงกำยำน่าเกรงขาม สีหน้าดำคล้ำ มัดกล้ามที่ขดตัวบนร่างกายแทบจะดันอาภรณ์ที่เขาสวมให้ฉีกขาด!
ฉู่หลิวเยว่เลื่อนสายตามองคนผู้นี้
“มีอันใด?”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าครั้งหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงก้องกังวาน
“เจ้าพวกคนนอก ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเราราชวงศ์เทียนลิ่ง ต้องจ่ายเงิน! ค่ายกลที่เจ้าใช้มีขนาดใหญ่ที่สุด คิดเป็นผนึกศิลาขาวสิบอัน!”
ในเขตพรมแดนม่านฟ้า เงินทองล้วนหาใช่สกุลเงินแข็งไม่
สิ่งที่มาแทนที่เงินทองเหล่านั้น คือผนึกศิลาขาวที่มีมูลค่าสูงกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด!
ผนึกศิลาขาวหนึ่งอัน หากอยู่นอกพรมแดนม่านฟ้า มีค่าเทียบเท่ากับหนึ่งหมื่นตำลึงทอง!
ผนึกศิลาขาวสิบอัน เท่ากับหนึ่งแสนตำลึงทอง!
ทำเช่นนี้ดูอย่างใดก็คือการรีดไถกันซึ่งหน้า!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงอย่างน่ากลัว ก่อนจะหัวเราะ
มาได้จังหวะพอดีเสียจริง!