ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 480 ยอมรับเจ้าในฐานะเจ้านาย
ตอนที่ 480 ยอมรับเจ้าในฐานะเจ้านาย [รีไรท์]
แต่ในไม่ช้าปีศาจแดงก็ร่อนลงบนไหล่ของฉู่หลิวเย่ว แล้วหดปีกของมันลง
ทว่าทหารที่เป็นผู้นำทางไม่ทันได้สังเกตถึงความผิดปกตินี้
ส่วนไหล่บางอีกด้าน ก็ตกลงเล็กน้อย เพราะถวนจื่อที่ปรากฏตัวขึ้น
มันใช้แขนทั้งสองข้างโอบไหล่นางไว้แล้วถลึงตามองปีศาจแดง ฉู่หลิวเย่วคิดว่ามันคงกำลังจ้องเล่นงานปีศาจแดงอยู่เป็นแน่ แต่นางกลับเห็นว่าหางของถวนจื่อนั้นม้วนเข้าหากัน ก่อนที่มันจะค่อยๆ นั่งยองๆ บนไหล่นาง
ฉู่หลิวเยว่ก็พลันรู้สึกโล่งใจ
โอกาสที่ทั้งสองตัวนี้พบหน้ากัน แล้วจะไม่ทะเลาะกันนั้นหาได้ยากนัก
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังทหารที่อยู่ข้างหน้า ก่อนพบว่าเขากำลังมองตนด้วยท่าทางตกตะลึง
“หน้าข้ามีอันใดหรือ?” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“โอ๊ะ? ไม่ ไม่มี ไม่มี!”
ทันใดนั้น ทหารผู้นั้นก็พลันรู้สึกตัว และรีบก้มหน้าลง
แต่อย่างใดก็ตาม คลื่นลูกใหญ่ในใจก็ไม่อาจสงบลงไปอีกนาน
นึกไม่ถึงเลยว่าปีศาจแดงจะรักใคร่คุณหนูฉู่ผู้นี้มาก!
เป็นเรื่องที่รู้กันว่า นอกจากรองแม่ทัพมู่แล้ว คนอื่นก็ไม่อาจจะพบเจอมันได้ตามต้องการ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูฉู่ผู้นี้กำลังฝึกฝนอยู่ในระดับใด
แต่ผู้ที่สามารถเข้าไปมาในจวนมู่ได้นั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
ถึงแม้ว่าเขาจะตกตะลึงและมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“คุณหนูฉู่ เชิญทางนี้”
ฉู่หลิวเยว่เดินตามเขาเข้าไปยังลานเล็กๆ ด้านหลังจวนมู่
“รองแม่ทัพกล่าวว่า เมื่อท่านมาถึงแล้วก็ให้ท่านรออยู่ที่ลานเฟิงเห่อนี่ก่อน ที่นี่ล้วนถูกเก็บกวาดทำความสะอาดแล้วเรียบร้อย ท่านโปรดวางใจได้ และในช่วงนี้ข้าจะเป็นผู้ดูแลกิจธุระให้คุณหนูฉู่ทั้งหมดเองขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ก้มศีรษะลงเบาๆ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมาก…ไม่ทราบว่าข้าควรจะเอ่ยเรียกท่านว่าเช่นไร?”
“ข้าน้อย ต้วนจือหยู ผู้ฝึกกองกำลังทหารม้าทมิฬขอรับ!” ต้วนจือหยูยืดไหล่ขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเต็มเสียง
“ขอบคุณมากผู้ฝึกต้วน”
“คุณหนูฉู่อย่าได้เกรงใจ!”
ฉู่หลิวเยว่ชี้เข้าไปด้านใน
“เช่นนั้นข้าเข้าไปด้านในก่อนได้หรือไม่?”
ต้วนจือหยูกล่าว
“เชิญขอรับ”
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เดินเข้าไปยังลานเฟิงเห่อ
และไม่ต้องหันกลับไปดู ก็รู้ว่าต้วนจือหยูกำลังเฝ้าอยู่ที่ประตูลานบ้าน
ความจริงนางรู้สึกได้ว่า ไม่ได้มีเพียงแค่ต้วนจือหยูเท่านั้น แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ทั่วทั้งลานเฟิงเห่อนี่
จะกล่าวว่าเพื่อปกป้องนางก็ดี หรือจะว่าเฝ้าระวังนางหรือก็ดี แต่ฉู่หลิวเยว่ล้วนไม่ได้ใส่ใจ
อย่างใดก็ตาม นางมาถึงซีหลิงแล้ว และยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทํา
เมื่อนางเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูและหน้าต่าง ทันทีที่นางนั่งลง ปีศาจแดงก็ขยับเข้ามาหานาง
ปีศาจแดงที่ว่านอนสอนง่ายจึงถูกนางกอดรัดไว้
ฉู่หลิวเยว่กางปีกของมันออก แล้วมองสำรวจให้แน่ชัด ก่อนจะพบบาดแผลตื้นๆ
แต่เหมือนเลือดจะแห้ง และแผลเพิ่งจะตกสะเก็ด เมื่อมองดูแล้ว ก็พบว่ามันเป็นบาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ แต่โชคดีที่ไม่มีอันใดร้ายแรง
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ปีศาจแดงนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสูง อีกทั้งทุกคนรู้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรของมู่ชิงเห่อ จะมีใครที่กล้าทำร้ายมันได้อีก?
“ใครกันนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยพึมพำ
แต่ปีศาจแดงเพียงแค่โอบมือของนางไว้ แล้ววางหัวของมันลงบนฝ่ามือของนาง ดวงตาใสที่สวยงามราวกับทับทิมของมันแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
น้ำตาที่ร้อนผ่าวหยดลงมาอย่างเงียบๆ
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่เจ็บปวด
นางทะนุถนอมปีศาจแดงมาโดยตลอด และไม่เคยเห็นมันโศกเศร้าขนาดนี้
“เป็นอันใด? ผู้ใดรังแกเจ้า?” ฉู่หลิวเยว่เช็ดน้ำตาให้มันอย่างเบามือ แล้วเอ่ยถามเสียวแผ่ว
ในซีหลิงนั้นปีศาจแดงถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ที่สามารถจะรังแกมันได้นั้น…จริงๆ มีไม่มากนัก
ปีศาจแดงเพียงแค่ส่ายหัว
ฉู่หลิวเยว่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
หากว่าเป็นเพียงการต่อสู่ปกติธรรมดา มันคงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้อย่างแน่นอน
แต่นี่ดูเหมือนว่า…จะเกี่ยวกับมู่ชิงเห่อ
“แล้วนี่เจ้านายเจ้าไปไหนกัน?” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
ปีศาจแดงทำเพียงนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยตอบอันใดทั้งสิ้น
ฉู่หลิวเยว่จนปัญญา และทำได้เพียงแค่ลูบหัวมันเบา ๆ
ดูแล้วสถานการณ์ของมู่ชิงเห่อจะไม่ค่อยดีนัก…
ปีศาจแดงหลับไปอย่างรวดเร็วในอุ้งมือของนาง
ฉู่หลิวเยว่วางมันลงอย่างเบามือ
ส่วนถวนจื่อนั้นเฉลียวฉลาดมาก มันทำเพียงนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ
ฉู่หลิวเยว่เบาใจขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปยังสร้อยข้อมือบนข้อมือตัวเอง นางลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปลดมันออก
นางนั่งสมาธิแล้ววางมือทั้งสองข้างลงบนเข่า พลางหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเริ่มบำเพ็ญฌาน
ครั้งสุดท้ายที่นางทะลวงผ่านนักรบระดับสามมาได้ ทุกอย่างก็ล้วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป จนนางเองไม่มีเวลาจะตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน
และในที่สุดตอนนี้ นางก็สามารถสงบจิตใจลงได้แล้ว
ภายในจุดตันเถียนมีหยดน้ำสามหยดลอยไปมาอยู่อย่างเงียบๆ
และภายในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ก็มีเปลวไฟแห่งกรรมที่โปร่งใส กำลังเผาไหม้จิตวิญญาณที่ถูกคุมขังอยู่ในนั้น และตอนนี้ลมปราณนั้นก็อ่อนแรงเต็มที
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกสักพักในการหลอมมัน จึงไม่ได้สนใจมากนัก
“ใบโพธิ์สีทองม่วง”
ทันใดนั้น อินทรีสามตาก็เอ่ยปากขึ้น
ฉู่หลิวเยว่นิ่งชะงัก
“หากเจ้าอยากจะช่วยข้าฟื้นฟูเนื้อหนัง สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ก็คือใบโพธิ์สีทองม่วง ในสวนที่เจ้าไปวันนี้มีของสิ่งนี้อยู่” อินทรีสามตาอธิบาย
ฉู่หลิวเยว่ย่นคิ้วเล็กน้อย
“สวนซินหลี่หรือ? ที่นั้นไม่มีของสิ่งนี้”
“มี สัมผัสของข้าไม่เคยพลาด”
“ไม่…”
ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธทันที
สมุนไพรส่วนใหญ่ในสวนซินหลี่นั้น นางเป็นคนดูแลเองกับมือ และนางย่อมรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บ้างอย่างแน่นอน
หรืออย่างน้อย ตอนที่นางอยู่ภายในสวนนั้น ก็ไม่มีใบโพธิ์สีทองม่วงอย่างแน่นอน
เพราะสำหรับราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น มันเป็นเพียงสมุนไพรล่ำลือกันเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ใบโพธิ์สีทองม่วงเป็นสมุนไพรที่มีค่าอย่างมาก และว่ากันว่ากลิ่นหอมของมันแผ่กระจายไปไกลหลายร้อยลี้ หากมีอยู่จริงในสวนซินหลี่ นางจะไม่รู้สึกอันใดเลยได้อย่างใด?
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าใจผิดไปหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
อินทรีสามตาเอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“ใบโพธิ์สีทองม่วงเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอินทรีสามตา ข้าจะเข้าใจผิดได้อย่างใด!?”
ฉู่หลิวเยว่ไร้คำโต้งแย้ง
อินทรีสามตาไม่จำเป็นจะต้องโกหกนาง
เช่นนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังนางตายไปแล้ว ก็มีคนนำมันมาเพาะในสวน
หรือว่าซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงจะมีฝีมือ ถึงขั้นได้รับใบโพธิ์สีทองม่วงเป็นของตัวเองหรือ?
“เช่นนั้นเจ้าก็คงจะรู้ว่าใบโพธิ์สีทองม่วงถูกเก็บไว้ที่ใด?”
“ข้าทราบตำแหน่งพอสังเขป แต่…มีอุปสรรคมากมายเกินกว่านั้น อีกทั้งใบโพธิ์สีทองม่วงอายุพันปียังมีสติปัญญาป้องกันการบุกรุกได้อย่างน่าตกใจ แล้วยังสามารถหลบซ่อนตัวได้ดีมากอีกด้วย แม้ว่าเจ้าจะพบเจอมันด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่อาจจดจำและสัมผัสถึงมันได้ ทว่าตอนนี้ข้าต้องพึ่งพาความสามารถของเจ้า…ช่างราวกับความฝันของคนงมงายเสียจริง”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
แล้วเจ้ามาบอกข้าให้ได้ประโยชน์อันใด!?
นางกระซิบเบาๆ
“ที่เจ้าบอกข้าเรื่องนี้ ก็เพื่อกระแนะกระแหนข้าหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น”
“…”
ยังจะอวดดีอีก!”
“คนธรรมดานั้นไม่อาจแม้แต่จะเข้าใกล้ใบโพธิ์สีทองม่วงได้ นับประสาอันใดกับการจะไปเอามา แต่หากบนตัวเจ้ามีลมปราณของข้า เรื่องเหล่านี้ก็มิใช่ปัญหาแต่อย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าอยู่ภายในตันเถียนของข้า ตราบใดที่ไม่ได้ปกปิด บนตัวเจ้าย่อมมีลมปราณของข้าปะปนอยู่ แค่นี้ยังไม่เพียงพอหรือ?”
“แน่นอนว่ายังไม่พอ”
อินทรีสามตาเว้นวรรค ก่อนจะพูดต่อ
“ข้าในตอนนี้เหลือเพียงแค่จิตวิญญาณเท่านั้นที่ยังคงอยู่ และกับเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ถึงแม้ลมปราณของข้าจะไหลล้นออกจากตัวของเจ้า แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลมปราณของเจ้าแต่อย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“แล้วเช่นนั้นจะทำอย่างใด?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหยี่ยวสามตาก็ยังไม่เอ่ยอันใดออกมา
ทว่าในตอนที่ฉู่หลิวคิดว่ามันคงไม่พูดอันใดออกมาแล้ว ในที่สุดมันก็ส่งเสียงขึ้น
“ข้าจะยอมรับเจ้าในฐานะเจ้านาย แล้วข้าจะไปเอาใบโพธิ์สีทองม่วงมาเอง”