ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 489 นางอยู่ที่มืด
ตอนที่ 489 นางอยู่ที่มืด [รีไรท์]
เมื่อคนข้างๆ ชายผู้นั้นสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พวกเขาจึงหันกลับมา
“คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอันใดไปหรือขอรับ?”
สายตาของคนผู้นั้นจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง พร้อมเม้มริมฝีปากแน่น
เมื่อคนอื่นๆ เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา ก็ไม่กล้าถามอันใดมาก ทุกคนต่างก็เงียบไป
ส่วนทางด้านบนเวที เมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสชิวซีก็โมโหจนควันแทบจะออกจากหู
อันใดที่พูดว่า “เช่นนี้ก็ได้แล้วใช่หรือไม่?”
การโจมตีครั้งสุดท้ายของฉู่หลิวเยว่นั้น แทบจะคร่าชีวิตของจ้าวอวิ๋นจื่อแล้ว!
“เจ้า…เจ้า! ทำแบบนั้นมันเกินไปแล้วนะ! อวิ๋นจื่อยอมแพ้แล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมหยุดมือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตั้งใจ!”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ผู้อาวุโสชิวซี ข้าเคารพท่าน ที่ท่านมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ข้าก็ทำตามที่ท่านบอกทุกประการ ท่านบอกให้ข้าหยุด ข้าก็หยุดแล้วอย่างใดเจ้าคะ”
เมื่อพูดจบนางก็ขยับปลายนิ้วของตนเองเล็กน้อย แส้ไฟชิ้นนั้นก็หดกลับไปอย่างรวดเร็ว และหายไปกลางฝ่ามือของนาง
นางกางมือออก
“ข้าเชื่อว่าทุกคนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสชิวซีชะงักไปครู่หนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่คนนี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ!
นางหยุดหลังจากที่ข้าพูดจริง แต่การโจมตีครั้งสุดท้ายนั่น จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเป็นไปได้หรือ?
แต่การกระทำนั้นตรงจังหวะพอดี เขาจึงไม่สามารถตามเอาเรื่องนางได้เลย!
“ถ้าเช่นนั้นครั้งสุดท้ายไม่ควรจะลงมือรุนแรง! อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่การกระทำช่างโหดเหี้ยมอย่างมาก!”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วถามกลับว่า
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านพูดออกมาแล้วว่า ขอเพียงแค่ไม่ต่อสู้ถึงชีวิต จะชนะด้วยวิธีใดก็ไม่จำเป็นไม่ใช่หรือ? หรือว่ากฎนี้ ไม่ได้เหมารวมข้าไปด้วย?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสชิวซีเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนเฉียบแหลมอย่างมาก เขาไม่สามารถโต้แย้งได้เลย!
แต่ท้ายที่สุดจ้าวอวิ๋นจื่อก็แพ้แล้ว!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และระงับความโกรธที่อยู่ภายในใจ เขาหันไปพูดกับทหารม้าทมิฬที่อยู่ด้านข้างว่า
“ยังไม่รีบพาจ้าวอวิ๋นจื่อไปรักษาตัวอีก!”
ทหารทั้งสองนายก็รีบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแบกจ้าวอวิ๋นจื่อที่มีแต่บาดแผลเต็มตัวลงไปรักษา
ฉู่หลิวเยว่หันหน้ากลับมา จากนั้นก็มองไปที่กระดานหยกสีดำที่ลอยอยู่ตรงอากาศ
ชื่อของจ้าวอวิ๋นจื่อที่อยู่บนนั้นหายไปแล้ว
เหลือเพียงแต่ชื่อของนาง…ฉู่หลิวเยว่!
มีแต่ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะอยู่ต่อไปได้!
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เหมือนว่านางจะเป็นผู้ชนะคนแรกในการแข่งขันครั้งนี้
“ผู้แข่งขันลำดับห้าสิบสาม ฉู่หลิวเยว่เป็นฝ่ายชนะ!”
ผู้อาวุโสตวนมู่ฉุนประกาศออกมาเสียงดัง
“ผู้แข่งขันลำดับที่หนึ่งร้อยหนึ่ง มาแทนที่ลำดับที่ห้าสิบสาม!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เดินลงจากสนามไปอย่างภูมิใจ
สายตาของคนรอบข้างมองนางเป็นตาเดียว!
ตกใจ อิจฉา ริษยา ชื่นชม…
สายตาเหล่านั้นมีความหมายแตกต่างกัน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่เคยจะสนใจมันเลย หลังจากที่ลงจากเวทีมาแล้ว นางก็เดินไปที่จุดพักผ่อนที่ถูกเตรียมเอาไว้ เพื่อดูการแข่งขันอย่างเงียบๆ
คนกลุ่มนั้นอาจจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ของนางในรอบต่อไป
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงซุบซิบมาจากทางด้านหลัง
“คาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะชนะจริงๆ ด้วย! การชนะครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่นางกลับสามารถชนะนักรบระดับห้าได้ถึงสองคนติดกัน… นี่ก็เป็นหลักฐานได้อย่างดีแล้วว่านางมีฝีมือจริงๆ!”
“ข้าดูแล้วว่าเหมือนจะกำลังจะเลื่อนขั้นไประดับสี่แล้ว? เมื่อถึงตอนนั้นหากชนะ มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก!”
“แต่ว่านางใจกล้ามากทีเดียว! ได้ยินมาว่าคนที่พาจ้าวอวิ๋นจื่อคนนั้นมาก็คือเฉินเซียหยวนจากสำนักหลิงอวิ๋น เดิมทีก็มีการตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้เข้าที่สำนักหลิงอวิ๋น มิน่าล่ะเหตุใดผู้อาวุโสชิวซีถึงได้โมโหขนาดนั้น หลายปีผ่านมานี้ เขาช่วยสนับสนุนสำนักหลิงอวิ๋นในทางลับอยู่ไม่น้อยเลย! เมื่อต้องสูญเสียต้นกล้าอ่อนของสำนักหลิงอวิ๋นไป เขาจะเฉยเมยได้อย่างใดเล่า?”
“แต่ว่าเขาก็เป็นผู้อาวุโสของราชสำนัก หากทำแบบนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะ… เมื่อครู่ตอนที่เขาตำหนิฉู่หลิวเยว่ ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม หากผู้แพ้คือฉู่หลิวเยว่ เขาคงไม่ออกหน้ามาตำหนิเช่นนี้แน่นอน…”
ฉู่หลิวเยว่นั่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยท่าทางสบายๆ
ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกว่ามีสายตาจากทางผู้ชมจับจ้องมาทางนาง
สัญชาตญาณเตือนภัยของนางร้องขึ้นทันที! จึงรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นก็เห็นชายสวมชุดคลุมยาวสีเขียวกำลังมองนางอยู่ด้วยสายตาลึกล้ำ
ดูไปแล้วเขาน่าจะอายุสามสิบกว่าปี หน้าตาธรรมดา แต่ตอนที่เห็นแววตาของเขา หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็เต้นแรงขึ้น!
ดวงตาคู่นี้ ต่อให้นางกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วนางก็ยังจำได้!
…เจียงอวี่เฉิง
เห็นได้ชัดว่าเขาปลอมแปลงใบหน้า ปิดบังปราณ และนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
คนที่อยู่รอบๆ ข้างของเขาน่าจะเป็นผู้ติดตามที่แต่งกายธรรมดาเช่นกัน
ไม่ว่าใครที่มองคนคนนี้รอบแรก ก็จะไม่มองรอบที่สองอีก
แต่นางไม่ใช่!
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิง นางมองมาตั้งหลายปี ไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน!
ท่าทางที่อบอุ่นอ่อนโยนของเขา มันทำให้นางระคายเคืองสายตาอย่างมาก เหมือนตราประทับที่ติดตรึง และฝังอยู่ในสมองส่วนลึกของนาง!
เมื่อเห็นว่าเจียงอวี่เฉิงสัมผัสได้ว่านางกำลังมองเขาอยู่ นางจึง แสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเบนสายตาออกไปมองรอบๆ
แม้ว่าภายในใจของนางจะเกิดความปั่นป่วน แต่ใบหน้าของนางกลับราบเรียบอย่างมาก แม้กระทั่งมุมปากของนางยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักเล็กน้อย คนอื่นๆ จึงมองไม่เห็นความผิดปกติของนาง
แต่ไม่มีใครรู้ว่านางต้องใช้พลังในการควบคุมตัวเองหนักขนาดไหน ถึงจะสามารถระงับจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากภายในใจได้
เรื่องทุกอย่างในอดีต ยังคงชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน มันเป็นแผลที่สดมาก!
เพียงแค่หัวใจของนางไม่เจ็บปวดถึงความรู้สึกที่โดนหักหลังอีกแล้ว
สิ่งที่มีคือ ต้องการจะสับร่างของเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้น!
นางหลับตาลง
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเจียงอวี่เฉิงจะมา
ความจริงแล้วก็รออยู่ตลอด แต่จนกระทั่งการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น เขาก็ยังไม่ปรากฏ นางจึงทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ข้างหลังไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาแบบหลบซ่อน แล้วเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน!
แล้วเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า?
ในฐานะของเขาในตอนนี้ เขาสามารถมาอย่างเปิดเผยได้เลย เหตุใดเขาต้องทำเรื่องเสียเวลาเช่นนี้ด้วย?
แล้วก็ที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือ…เมื่อครู่เขากำลังมองนาง…เขากำลังมองอันใดกันแน่?
เพราะว่านางชนะการแข่งขันคนแรก? หรือว่าจะเป็นเรื่องอื่น?
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง เหมือนกับเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด
ท่าทางเหมือนชนะการแข่งขันอย่างง่ายดาย
แต่นางก็ยังสัมผัสได้ว่าเจียงอวี่เฉิงกำลังมองนางอยู่เหมือนเดิม แต่อารมณ์ของนางค่อยๆ สงบลงแล้ว
ไม่ว่าอย่างใดฐานะของนางก็เปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งหน้าตาและอายุก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน นางไม่เชื่อหรอกว่าเจียงอวี่เฉิงจะจำนางได้!
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ นางอยู่ที่มืด เขาอยู่ที่สว่าง!
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เจียงอวี่เฉิงเห็นรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่ครั้งแรก เขาก็จ้องมองนางอยู่ตลอด
ตอนแรกเขาคิดว่านางคือคนคนนั้น แต่หลังจากที่มองดูดีๆ แล้ว เขากลับคิดว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว
แม้ว่ารอยยิ้มจะเหมือนมาก แต่ความจริงแล้วลักษณะใบหน้าก็แตกต่างกันอย่างมาก
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ในตอนนั้นเหมือนว่าจะอายุสิบสี่สิบห้าเท่านั้นเอง และคนคนนั้นกลายเป็นขี้เถ้าอยู่ในกองเพลิงไปแล้ว จะมาปรากฏตัวอีกครั้งได้อย่างใด?
เจียงอวี่เฉิงลูบหัวคิ้วของตนเองเบาๆ
เหมือนว่าช่วงนี้เขาจะเหนื่อยเกินไปจริงๆ ถึงได้คิดอันใดเพ้อเจ้อเช่นนี้ออกมาได้
“ไปตรวจสอบประวัติของฉู่หลิวเยว่คนนี้ที”