ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 492 ข้าอ่านตัวอักษรของชื่อเจ้าออก
ตอนที่ 492 ข้าอ่านตัวอักษรของชื่อเจ้าออก [รีไรท์]
ตอนที่พูดออกมา ฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
นางไม่ใช่คนที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีหลายครั้งที่ต้องบอกว่านางเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมไร้ความปรานีน่าจะเหมาะสมกว่า
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อเห็นสีหน้าอ้างว้างของเชียงหว่านโจวตอนที่พูดประโยคนั้น ในใจของนางกลับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง
ความรู้สึกแบบนี้ เจอได้น้อยมาก
กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวนางเลย นางมักจะไม่ยอมเข้าไปยุ่งและสร้างปัญหาให้ตัวเอง
แต่สำหรับเชียงหว่านโจวแล้ว มันต่างออกไป
“จริงหรือ?”
เมื่อเชียงหว่านโจวได้ยินเช่นนั้น ก็หันกลับมามองนาง
พริบตาเดียวแววตาสีน้ำตาลและเส้นผมสีทองอ่อนนุ่มก็เปล่งประกายออกมาเหมือนดอกไม้ไฟ
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่ลังเล จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า
“ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง! แต่ว่าต้องทำตามข้อตกลง เจ้าต้องมาเป็นผู้ติดตามของข้าหนึ่งเดือน”
เชียงหว่านโจวพยักหน้าทันที
“ได้เลย!”
เมื่อพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมา แล้วชูนิ้วก้อย
“พันธสัญญา”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง “…เจ้าทำอันใดหรือ?”
เชียงหว่านโจวพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่คือพันธสัญญาสูงสุดระหว่างคนสองคน ในเมื่อข้ากับเจ้าทำสัญญากันแล้ว จะมากลับคำไม่ได้เด็ดขาด”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่มุ่งมั่นดูน่าเชื่อถือของเชียงหว่านโจว ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“คนคนนั้นเป็นคนสอนเจ้าหรือ?”
เด็กหนุ่มคนนั้นพยักหน้าจริงๆ ด้วย
“ก่อนหน้านี้ข้ากับนางได้ทำสัญญาร่วมกันเอาไว้แล้ว เจ้าเป็นคนที่สอง”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว เหมือนว่าเขาต้องการทำท่าเกี่ยวก้อยกับนางใช่หรือไม่?
ฉู่หลิวเยว่กลอกตา จากนั้นก็ยื่นนิ้วก้อยออกไปพร้อมเกี่ยวก้อยกับเขาเอาไว้
คาดไม่ถึงว่ามือของเด็กคนนี้จะเย็นราวกับน้ำแข็ง
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองอย่างไม่พูดอันใด
มิน่าล่ะเขาถึงบอกว่าต้องการเชื้อไฟเพื่อใช้ชีวิตต่อไป ดูจากภายนอกเด็กคนนี้ไม่ได้ต่างจากเด็กธรรมดาเลย แต่ความจริงแล้วอวัยวะภายในของเขากำลังถูกความเย็นกัดกินร่างกาย
อวัยวะภายในส่วนใหญ่ของเขาถูกแช่แข็งไปหมดแล้ว
ในเมื่อเป็นขนาดนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่รู้ว่าระดับการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาจะน่าทึ่งขนาดไหน…
“มานี่”
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เกี่ยวก้อยสัญญากับเขาแล้ว นางก็ดึงตัวอีกฝ่ายทันที
เชียงหว่านโจวเอนตัวไปหาฉู่หลิวเยว่โดนไม่ทันตั้งตัว
ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นน้อยมาก ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็สามารถเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้แล้ว จากนั้นนางก็ชะงักไปเล็กน้อย
คนผู้นี้เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับความงดงามเกินไป
ผิวของเขาขาวมาก แทบจะสามารถสะท้อนแสงได้เลย ผมสั้นสีทอง ดวงตาที่เย็นชาสีน้ำตาล ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ เหมือนกับหิมะที่อยู่บนภูเขาสูง
ปลายจมูกเชิดขึ้น ริมฝีปากสีแดงเหมือนกุหลาบ มุมปากโค้งขึ้น
คางเรียวแหลม ทำให้เขาดูเป็นเด็กหนุ่มที่สะอาดและเยาว์วัย
ถ้าไม่ใช่เพราะท่าทางและรูปร่างของเขาเหมือนผู้ชายจริงๆ ฉู่หลิวเยว่ก็จะสงสัยแล้วว่าเขาต้องเป็นสาวน้อยรูปงามแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นแล้วขยี้ผมสีทองของเขาให้ยุ่งเหยิง!
เชียงหว่านโจวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
“เจ้าทำอันใดเนี่ย?”
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าตาที่ยุ่งเหยิงของเขา แล้วแกว่งนิ้วก้อยของเขาพร้อมยิ้มแล้วพูดว่า
“ในเมื่อเราทำสัญญากันแล้ว มันก็มีผลแล้วใช่หรือไม่? นับว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เจ้าจะต้องมาติดตามข้า”
แต่จะว่าไปแล้ว เป็นผู้ติดตามก็ต้องติดตามสิ เกี่ยวอันใดกับลูบหัวข้าด้วยเล่า?
เชียงหว่านโจวจ้องมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง สายตาที่งดงามของเขายังมีประกายความโกรธอยู่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา เขาจึงหันหน้ากลับไป และนั่งหลังตรงเช่นเดิม
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็น
“เข้าใจแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังแล้ว
เชียงหว่านโจวคนนี้เหมือนว่าจะเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้ แต่ว่าเป็นคนที่หลอกได้ง่ายมาก…
ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่เขาต้องการตามหาจะต้องโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ด้วย
เมื่อคิดไปแล้ว ความกังวลที่อยู่ภายในใจของฉู่หลิวเยว่ก็หายวับไปทันที
นางกำลังคิดว่านางจะต้องอยู่ที่ซีหลิงด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้กลับมีผู้ช่วยมาหนึ่งคน มันช่างดีมากเลย
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่วรยุทธ์ของเชียงหว่านโจวก็แข็งแกร่งมากแล้ว
ด้วยระดับของเขาจะต้องอยู่ระดับห้าขั้นปลายแล้วแน่นอน
แต่ดูจากอายุของเขาแล้ว นับว่าเป็นอัจฉริยะในอัจฉริยะ!
“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?” ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น
“ชายแดนใต้”
“ชายแดนใต้?! ชายแดนใต้ของราชวงศ์เทียนลิ่งน่ะหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจ
เมื่อเห็นว่าเชียงหว่านโจวพยักหน้า ก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก
ราชวงศ์เทียนลิ่งมีเขตชายแดนสี่เขตใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นพื้นที่รกร้าง
แต่ชายแดนใต้เป็นเขตที่คนไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้มากที่สุดแล้ว
ที่นั่นเต็มไปด้วยหนองน้ำ มลพิษมากมาย ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาล้วนตายทั้งหมด
คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาจากที่นั่น?
“เจ้า…ใครเป็นคนพาเจ้ามา?”
ผู้บำเพียรชีพจรตี้จิงเดินทางหมื่นลี้เพื่อไปรับคนคนหนึ่งมา มันค่อนข้างจะ…
“ไม่มีใครพาข้ามา” เชียงหว่านโจวพูดขึ้น “ข้าเติบโตมาจากที่ชายแดนใต้ ข้าเดินทางมาตั้งแต่ทะเลสาบเชียนหว่ยเริ่มแห้ง”
ฉู่หลิวเยว่ตาโตอ้าปากค้าง
เมื่อเชียงหว่านโจวเห็นว่านางไม่พูด เขาจึงพูดเสริมขึ้นมาว่า
“จนถึงวันนี้ก็ห้าเดือนพอดี”
ฉู่หลิวเยว่ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติกลับคืนมา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เดินทางจากทะเลสาบเชียนเหว่ยมาถึงที่ซีหลิงด้วยตัวคนเดียวหรือ?”
เชียงหว่านโจวพยักหน้า
ฉู่หลิวเยว่ก็ตกใจอย่างมาก นี่มันคนแบบไหนกันแน่เนี่ย?
อายุสิบกว่าปี คาดไม่ถึงว่าจะเดินทางออกจากชายแดนใต้ด้วยตัวคนเดียว เดินทางหลายหมื่นลี้ จนมาถึงที่ซีหลิง?
ทันใดนั้นก็มีความคิดอันใดบ้างอย่างผุดขึ้นในหัวของนาง
“เจ้า…มาซีหลิง…เพื่อตามหาคนคนนั้นหรือ?”
เชียงหว่านโจวตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ใช่”
น้ำเสียงของเขาในครั้งนี้หนักแน่นและจริงจังมากกว่าครั้งที่แล้วอีก
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ถามขึ้นอย่างลังเลว่า “แต่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนล้วนมีคนพามาทั้งนั้น เจ้า…ตอนที่เจ้าไปรายงานตัวที่สวนซินลี่ เจ้าไปกับใครหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางของเชียงหว่านโจวแล้ว เขาจะไปคนเดียวได้อย่างใด?!
เชียงหว่านโจวขมวดคิ้วขึ้น
“เหมือนว่าคนผู้นั้นจะชื่อว่า อวี๋หมิ่นหัน ข้าไม่รู้จักเขา แต่เขาบอกข้าว่า ขอเพียงแค่ข้าสามารถคว้าที่หนึ่งงานหมื่นทูรได้ และมีชื่อเสียงก็จะสามารถตามหาคนที่ต้องการได้”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที
คนที่ชื่ออวี๋หมิ่นหันคนนั้น จะต้องมองออกว่าเชียงหว่านโจวเป็นยอดอัจฉริยะ จึงตั้งใจตีสนิทเขา และหลอกให้เขาเข้าร่วมงานประลองหมื่นทูรแน่นอน
เชียงหว่านโจวมาจากชายแดนใต้ ยังไม่เจนโลก ได้ยินว่าตนเองสามารถตามหาคนที่ต้องการได้ เขาก็ต้องตอบตกลงทันที
“คนที่ชื่ออวี๋หมิ่นหันนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาจากสำนักใด?”
เชียงหว่านโจวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ถาม”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เด็กคนนี้ช่างไร้เดียงสาจริงๆ แม้กระทั่งตัวตนของคนคนนั้นยังไม่สอบถามให้ชัดเจน แต่ก็ขึ้นเรือหัวขโมยมาแล้ว
“ตอนที่เจ้ารายงานตัว เขาน่าจะเขียนชื่อและสำนักลงไป เจ้าได้สังเกตบ้างหรือไม่?”
ทันใดนั้นเชียงหว่านโจวก็ชะงักไปทันที
ผมสีทองลงมาปิดหน้าปิดตาของเขา
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสัมผัสได้ถึงความอึดอัดและลำบากใจ
นิ้วของเขางอลงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า
“ข้าอ่านไม่ออก”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งค้างไป และคิดว่าตัวเองช่างโง่เง่าจริงๆ
เชียงหว่านโจวเติบโตมาที่ชายแดนใต้ สามารถมีชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีโอกาสได้เรียนรู้หนังสือ
ตอนนั้นนางก็กำลังคิดว่าจะปลอบใจอย่างใดดี ทันใดนั้นเชียงหว่านโจวก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วชี้ไปที่กระดานหยกสีดำแผ่นนั้น
“แต่ข้าอ่านตัวอักษรของชื่อเจ้าออก…เยว่”