ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 502 พูดจาเพ้อเจ้อ
ตอนที่ 502 พูดจาเพ้อเจ้อ [รีไรท์]
เชียงหว่านโจวมองตามสายตาของนาง แล้วเหลือบมองมือของตนเอง
“จำไม่ค่อยได้แล้ว ข้ามีมันมาตั้งนานแล้ว”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบอย่างมาก ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย
ด้วยสภาพแวดล้อมในชายแดนใต้ หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่ามันจะต้องลำบากสักแค่ไหน
แต่เขากลับทำเป็นเรื่องที่เคยชินแล้ว
ฉู่หลิวเยว่วางนิ้วชี้ไว้บนข้อมือของเขา พร้อมส่งปราณสายหนึ่งเข้าไป
ทันทีที่เข้าไปนางก็สัมผัสถึงพลังไอเย็นที่รวดแรงทะลักเข้ามาหานาง!
แววตาของนางเย็นชาอย่างมาก และเพิ่มปราณสนับสนุนเข้าไปทันที!
แต่ด้วยพลังความเย็นที่แข็งแกร่งอย่างมาก พลังดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่ก็แทบจะโคจรไม่ได้
หลังจากนั้นนางก็เรียกเปลวเพลิงโปร่งแสงจากหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ ที่เข้ามาผสานกับพลังดั้งเดิมและโคจรเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย
ได้ผลจริงๆ ด้วย!
เหมือนกับว่าปราณเย็นพวกนั้นได้เจอกับสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก จึงรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว!
ไม่ว่าเปลวเพลิงโปร่งแสงจะผ่านไปที่ไหน เส้นเลือดและชีพจรที่โดนปราณเย็นพวกนี้เกาะตัวอยู่ก็คลายออก
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกดีใจอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าเปลวไฟในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์จะสามารถจัดการกับของสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดายนัก
เชียงหว่านโจวขมวดคิ้วด้วยท่าทางไม่สบายเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ดึงพลังดั้งเดิมกลับคืนมา จากนั้นก็มองดูเขาอย่างละเอียด
“เจ้าเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่?”
เชียงหว่านโจวพยักหน้า
“เหมือนร่างกายกำลังจะไหม้เลย”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าที่ห่อหุ้มปราณดั้งเดิมด้วยเปลวเพลิงโปร่งแสงครั้งนี้นั้น นางไม่ได้ใช้ไฟแรงมากเพื่อจะได้ไม่มีอาการแสบร้อน แต่เหตุใดร่างกายของเชียงหว่านโจวถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้เล่า?
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าถูกพลังไอเย็นนั้นกัดกินและสะสมมาเป็นเวลานาน หากไม่รับการแก้ไขตอนนี้ เกรงร่างกายของเจ้าจะถูกแช่แข็งหมดแน่ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าต้องการเชื้อเพลิงจากข้า ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ?”
เชียงหว่านโจวลดมือลง ผมสีทองนิ่มไหลมาปรกหน้าของเขา
“ตอนนี้ข้าเพิ่งผ่านเป็นหมอเทวดาระดับสาม จึงไม่มีทางสร้างเชื้อเพลิงมาให้เจ้าได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถปรับสภาพร่างกายของเจ้าก่อนได้ จริงสิ เจ้าได้รับปราณเย็นในร่างกายมาได้อย่างใด? แล้วนานเท่าไรแล้ว? ดูจากท่าทางแล้ว…น่าจะประมาณสิบปีใช่หรือไม่?”
เชียงหว่านโจวเม้มปากแน่น
“ข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่จำความได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง
“เจ้าว่าอย่างใดนะ!”
…
ตระกูลเจียง
เจียงอวี่เฉิงกลับเข้ามาที่จวนของตนเองจากทางประตูหลังอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาที่ห้องหนังสือ
เมื่อผู้ดูแลห้องหนังสือเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ก็เข้ามาทำความเคารพทันที
เจียงอวี่เฉิงผลักประตูเข้าไป พร้อมถามว่า
“วันนี้ท่านพ่อไม่มาหรือ?”
“เรียนคุณชายใหญ่ วันนี้ท่านราชครูไม่ได้มาที่นี่ขอรับ แต่ฮูหยินมาที่นี่หนึ่งครั้ง เมื่อได้ยินว่าท่านกำลังพักผ่อนอยู่ นางก็จากไป”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า และเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง
“พวกเจ้าออกไปข้างนอกก็พอแล้ว ข้าจะอยู่คนเดียว”
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ก็ปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เจียงอวี่เฉิงถอดหน้ากากมนุษย์ของตนเองออกมา แล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ หลับตาลง แต่ยังคงขมวดคิ้วอยู่
แต่ว่าในสมองของเขา กลับมีรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เจียงอวี่เฉิงรีบลุกขึ้นยืนอย่างหงุดหงิดทันที
เก้าอี้ที่เลื่อนตัวออกก็ส่งเสียงดังแสบแก้วหู
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เดินไปเดินมาในห้อง
ราวกับว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในเวทย์มนต์อันใดสักอย่าง
“อวี่เฉิง เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
เจียงอวี่เฉิงสะดุ้งตกใจ พร้อมหมุนตัวกลับไปมองทันที
แม่นางคนหนึ่งที่สวมชุดหรูหรา ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ใบหน้าของนางงดงาม เครื่องสำอางแต่งแต้มสดใส ดูเหมือนบุคคลในภาพวาดอย่างมาก
มีเพียงแววตาของนางเท่านั้น ที่บางครั้งจะมีประกายความเยือกเย็นแผ่ออกมา เหมือนกับงูพิษที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
เจียงอวี่เฉิงสะกดความหงุดหงิดในใจของตนเองลงไป สีหน้ากลับมาอ่อนโยนขึ้นดังเดิม
“หว่านเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ซั่งกวนหว่านเดินขึ้นมาด้านหน้า แล้วเอนตัวลงในอ้อมกอดของเขา
“ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว เจ้าไม่ได้เข้าวังมาตั้งหลายวัน ข้าอยู่คนเดียวก็เหงามากเลย”
เดิมทีเขาเป็นคนอ่อนโยนดุจหยก แต่ไม่รู้เหตุใดวันนี้เหมือนเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาโอบไหล่ของซั่งกวนหว่านแล้วตบเบาๆ
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการเตรียมตัวงานประลองหมื่นทูร ดังนั้นจึงยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาเข้าวังไปหาเจ้าบ่อยๆ แล้ว รอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน ข้าไปหาเจ้าเหมือนเดิมนะ”
ซั่งกวนหว่านเงยหน้าขึ้นมองเขา
“จริงสิ วันนี้เจ้าไปดูงานประลองรอบคัดเลือกมาไม่ใช่หรือ? เป็นอย่างใดบ้าง?”
เจียงอวี่เฉิงตอบ
“มีต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมอยู่หลายต้น หากเลี้ยงดูให้ดี จักต้องกลายเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมแน่นอน เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นเอง”
ซั่งกวนหว่านแสดงสีหน้ามีความสุขอย่างมาก นางจึงกอดเอวของเจียงอวี่เฉิงไว้ ใบหน้าก็คลอเคลียอยู่ที่หน้าอกของเขา พร้อมออดอ้อนว่า
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจียงอวี่เฉิงของข้าดีที่สุด”
เจียงอวี่เฉิงขานรับว่า “อื้อ” เสียงเรียบ
แต่ซั่งกวนหว่านก็รู้สึกได้ว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติไป
“อวี่เฉิง เจ้าเป็นอันใดไปหรือ? เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?”
น้อยมากที่จะเห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้
เจียงอวี่เฉิงยิ้มบางๆ แล้วกดจูบที่หน้าผากของนาง
“ไม่มีอันใด แค่วันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย”
ซั่งกวนหว่านคิดว่าช่วงนี้เขาเตรียมตัวจัดงานหมื่นทูรอย่างหนักจริงๆ จึงไม่ได้ถามอันใดมาก
แต่เมื่อนางมาแล้ว เจียงอวี่เฉิงกลับเมินเฉยนาง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะไม่มีความสุข
นางปล่อยแขนออกจากเจียงอวี่เฉิง แล้วถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าเย็นชาอย่างมาก
“งั้นเจ้าก็พักผ่อนเยอะๆ นะ ข้ากลับก่อนล่ะ”
เจียงอวี่เฉิงมีหรือจะดูไม่ออกว่านางโมโหแล้ว?
“เอาล่ะๆ หว่านเอ๋อร์อย่าโกรธเลย ไหนบอกข้าหน่อยสิว่าช่วงนี้ในวังหลวงเป็นอย่างใดบ้าง? ช่วงนี้ฝ่าบาทสามารถใช้โอสถได้แล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เป็นอย่างใดบ้าง? มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านทำหน้าบึ้งตึ้ง
“ข้าจะรู้ได้อย่างใดเล่า ข้าไม่ได้ไปเยี่ยม”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไป
“เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยม? ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับเจ้าให้เจ้าดูสถานการณ์ของฝ่าบาทไว้ไม่ใช่หรือ? เจ้า…”
“เจียงอวี่เฉิง นี่เจ้ากำลังสั่งข้าอยู่หรือ? เสด็จพ่อมีคนคอยดูแลอยู่ตลอด แค่สองวันนี้ข้าไม่อยากไปเท่านั้นเอง ส่วนเจ้าที่เป็นเช่นนี้! วันนี้กว่าข้าจะออกมาหาเจ้าได้ แต่เจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้หรือ?”
ซั่งกวนหว่านร้อนใจเช่นกัน
เจียงอวี่เฉิงถูใบหน้าของตนเองอย่างแรง ราวกับว่าพยายามระงับความโกรธที่อยู่ในใจ แล้วเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนว่า
“หว่านเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าข้าบังคับเจ้า แต่ช่วงนี้มันพิเศษ เจ้าก็รู้ว่า เพื่อให้ฝ่าบาทฟื้น พวกเราใช้วิธีมามากมายแล้ว ตอนนี้มีสัญญาณอันใดบางอย่างขึ้นมาแล้ว จึงต้องคอยดูแลให้ดี! หากมีอันใดผิดพลาด…”
“มันจะมีอันใดผิดพลาดได้เล่า?” ซั่งกวนหว่านแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ทั้งวังหลวงเป็นคนของพวกเราหมดแล้ว หลังจากที่เสด็จพ่อฟื้นขึ้นมาท่านจะรู้เรื่องที่ควรรู้ เจ้ากำลังกังวลเรื่องอันใดกันแน่? หรือว่าเจ้าจะกลัวว่าไอ้บ้านั่นมันจะฟื้นขึ้นมาแก้แค้นพวกเรา?”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ซั่งกวนหว่านก็เป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องนางก็จะก่อเรื่อง ไม่เช่นนั้นตัวนางจะไม่มีความสุข!
โดยเฉพาะหลังจากชีพจรของนางถูกทำลาย นางไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้อีกแล้ว นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก วันๆ คิดถึงแต่เรื่องของตนเอง! ไม่เคยมองดูภาพรวมเลย!
ถ้าเป็นตอนปกติ เขาต้องปลอบโยนนางอย่างใจเย็น
แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดประโยคสุดท้ายของนาง ทำให้เขาโมโหขึ้นมา
เขาพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
“เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออันใดกัน!?”