ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 512 จริงจังหรือเปล่า
ตอนที่ 512 จริงจังหรือเปล่า [รีไรท์]
เขตอาคมโปร่งแสงสีเงินทรงกลม ดูแล้วน่าจะเป็นพรมแดนไวฑูรยะ
แต่เหตุใดถึงสามารถป้องกันปราณกระบี่ที่ดูน่าอันตรายแบบนั้นได้เล่า!?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นพรมแดนไวฑูรยะมาก่อน แต่สิ่งนั้นไม่น่าจะป้องกันปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ได้นะ
ต่อให้พวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน ก็แทบจะไม่สามารถต้านทานปราณกระบี่นั้นได้เลย!
พวกเขาทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา มีเพียงแค่หยางเซิ่นเอ๋อร์ที่ดูดีกว่าศิษย์พี่ทั้งสองของนาง พวกเขาดูท่าทางจนตรอกอย่างมาก
ชายมีเคราได้รับบาดเจ็บ ที่มุมปากยังมีรอยเลือดอยู่เลย ส่วนชายร่างสูงผอมก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะกระบี่ของเขาถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์สำนักกระบี่เมฆาม่วง จุดแข็งแกร่งที่สุดของเขาคือการใช้กระบี่ หากไม่มีกระบี่ สำหรับพวกเขาแล้ว ก็ถือว่าต่อสู้ไม่ได้เลย
“นี่…ทำอย่างใดดี…”
ชายร่างสูงผอมถอนสายตากลับมา เขาจ้องไปที่มือขวาที่ว่างเปล่าของตนเอง
กระบี่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น กลับเหลือเพียงด้ามกระบี่ที่หักๆ ดูแล้วน่าสมเพชอย่างมาก
ปราณกระบี่เล่มนั้น บีบบังคับให้พวกเรามาอยู่จุดนี้
หากเดินหน้าลุยต่อไปแล้วล่ะก็…
“มิน่าล่ะ ถึงมีกระดูกมนุษย์มากมายอยู่ที่นี่…” หยางเซิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้ากังวลใจออกมา “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโดนปราณกระบี่นี้ทำร้ายทั้งสิ้น”
พวกเขาทั้งหลายต่างก็เงียบกันไป
ความทะเยอทะยานก่อนหน้านี้ ได้หายไปจนหมดสิ้น
ความจริงมักจะโหดร้ายเช่นนี้เสมอ
“ปราณกระบี่เล่มนี้ ไม่มีทางปรากฏแค่ครั้งเดียวแน่นอน นี่คือปราณระดับต่ำที่สุดของกระบี่หลงหยวน ปราณกระบี่ครั้งนี้…คือคำเตือนของมัน!”
ชายมีเคราคนนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองกระบี่หลงหยวน ความตื่นเต้นและความคาดหวังที่มีก่อนหน้านี้ ได้จางหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ใบหน้าของเขาเหลือเพียงแต่ความกังวลและไม่สบายใจ อีกทั้งยังมีความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ อีกด้วย
“ยิ่งพวกเราเดินเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น! ไม่อย่างนั้นสิ่งที่รออยู่ก็คือ…” ความตาย!
เรื่องนี้เขาไม่ต้องพูด คนอื่นก็เข้าใจได้ทันที
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้น ปราณกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่ ได้หายไปแล้ว
“แล้วเหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงไม่เป็นอันใดเลย!?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์พูดถามพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย
“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยใช้พรมแดนไวฑูรยะมาก่อน แต่ว่า…มันไม่ค่อยเหมือนกับของนางเลยนะ”
ชายทั้งสองคนสบสายตากัน
ความจริงแล้วพวกเขาก็มองออก
พรมแดนไวฑูรยะทั่วไปจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างใด?
เห็นได้ชัดว่าของนางนั้นเป็นของพิเศษ
หยางเซิ่นเอ๋อร์หยิบผ้าพันแผลออกมา แล้วช่วยชายร่างสูงผอมพันแผลที่ผ่ามือด้วยความระมัดระวัง ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ
“ศิษย์พี่ต้องมาบาดเจ็บเพราะข้า…หากข้าสามารถแข็งแกร่งได้อย่างฉู่หลิวเยว่ก็คงจะดี”
คำพูดนั้นได้เตือนสติชายทั้งสองทันที
“นางแข็งแกร่งที่ไหนกัน? มีแค่พรมแดนไวฑูรยะของนางเท่านั้นที่แข็งแกร่ง” ชายมีเคราคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างดูถูก และยังมีท่าทีไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “มิน่าล่ะเมื่อครู่นางถึงบอกว่าไม่อยากมากับพวกเรา เพราะว่าสิ่งนี้นี่เอง!”
“เจ้าเพิ่งบอกว่าฉู่หลิวเยว่คนนั้นมีฐานะธรรมดาไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดนางถึงมีอาวุธที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้เล่า?” ชายร่างผอมสูงหันขวับไปจ้องฉู่หลิวเยว่ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะเก็บพรมแดนไวฑูรยะสีหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย “นางมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งหรือเปล่า?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง
“เหมือนว่าจะใช่นะเจ้าคะ…นางมีความสัมพันธ์กับเจี่ยนเฟิงฉือแห่งหุบเขาเขี้ยวมังกรคนนั้น”
“เจี่ยนเฟิงฉือ?”
ชายทั้งสองคนพูดชื่อของเจี่ยนเฟิงฉือขึ้นมา ใบหน้าก็แฝงด้วยความริษยาและดูถูก
“เจี่ยนเฟิงฉือคนนั้นมีอันใดยอดเยี่ยมกัน แต่ว่าช่างเรื่องเบื้องหลังของนางเถอะ! พวกเราสำนักกระบี่เมฆาม่วงไม่กลัวหุบเขาเขี้ยวอสูรหรอกนะ!”
ชายรูปร่างผอมสูงพูดขึ้น ก่อนจะขยิบตาให้ตาชายมีเครา
“ในเมื่อพวกเรามาที่นี่แล้ว จะให้กลับไปทั้งเช่นนี้เลยได้อย่างใด?”
ชายมีเคราพยักหน้าเล็กน้อย
“แต่ต้องหาวิธีก่อน…”
…
ฉู่หลิวเยว่เก็บของลง จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่าด้านข้างของนางมีระลอกคลื่นปรากฏตัวขึ้น
เมื่อนางหลังหลังกลับไปมอง จากนั้นนางก็เห็นว่าคนทั้งสามกำลังเดินเข้ามาหานาง
เมื่อเทียบกับตอนแรกที่เจอกัน ตอนนี้พวกเขาดูจนตรอกมากขึ้นหลายเท่าตัวเลย
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งโดนโจมตีมา
“คุณหนูฉู่ พวกเรามีเรื่องอยากปรึกษาเจ้า”
หยางเซิ่นเอ๋อร์กล่าวขึ้นมาเบาๆ ท่าทางดูตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับว่าหากพูดเสียงดังจะทำให้นางตกใจอย่างใดอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอันใด แต่ก็พยักพเยิดหน้าขึ้น
หยางเซิ่นเอ๋อร์ประสานมือไว้ด้านหน้าอย่างประหม่าแล้วถามขึ้นว่า
“พวกเรา… เมื่อครู่พวกเราเห็นว่าเจ้าสามารถหยุดปราณกระบี่สายนั้นได้ ดังนั้น…จึงอยากถามเจ้าว่า ไม่ทราบว่าเจ้าจะสามารถช่วยพวกเราได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่สามารถคาดเดาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้แล้ว แต่ก็ยังคงถามต่อว่า
“ช่วยอันใดหรือ?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ก็คือ…ช่วยพาพวกเราไปด้วยได้หรือไม่? เจ้าวางใจได้เลย พวกเราไม่ได้ให้เจ้าช่วยโดยเปล่าประโยชน์ ขอเพียงแค่เจ้าสามารถพาพวกเราหลบปราณกระบี่เหล่านี้ได้ พวกเราจะตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน! ไม่ว่าจะเป็นสมบัติชิ้นใด เจ้าเลือกก่อนได้เลย หลังจากที่พวกเราออกไปได้แล้ว พวกเราจะขอบคุณเจ้าอีกครั้ง! เจ้าว่า…ดีหรือไม่ล่ะ?”
ชายรูปร่างสูงผอมที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กล่าวเสริมอีกว่า
“คนสำนักกระบี่เมฆาม่วง พูดคำไหนคำนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นแล้ว
หน้าใหญ่มาจากที่ใดกันเนี่ย
ที่นางถามคำถามนั้น ก็เพื่อดูว่าคนเหล่านี้หน้าด้านกันขนาดไหน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาเองเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่ามาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ยังวางท่าสูงส่งเหมือนกำลังให้ทานอยู่เลย
ใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้มเช่นเดิม แต่รอยยิ้มนี้ไม่ได้ส่งไปถึงดวงตาอีกแล้ว
“ข้าว่าเมื่อครู่ข้าได้พูดอย่างชัดเจนแล้วนะ ข้าไม่สะดวกให้พวกเจ้าร่วมเดินทางไปด้วย ดังนั้น…ช่างมันเถอะ”
พวกเขาทั้งหลายก็ตกตะลึงไป
พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า อุตส่าห์มายื่นข้อเสนอให้ขนาดนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่ยอมช่วยเหลือพวกเขาอีก!
ไม่ว่าอย่างใดเขาก็เป็นศิษย์จากสำนักกระบี่เมฆาม่วงนะ!
แต่ว่านางไม่เคยเห็นพวกเขาในสายตาเลย!
ใบหน้าของชายมีเคราดูย่ำแย่อย่างมาก
“คุณหนูฉู่ เจ้าแน่ใจหรือ? เมื่อครู่เราให้ความช่วยเหลือเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาทำเช่นนี้ มันคงไม่เหมาะสมล่ะมั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ถามกลับ
“แต่เมื่อครู่ข้าขอร้องให้พวกเจ้ามาช่วยข้าหรือไม่? อีกทั้ง ข้ายังไม่ได้รับ “ความช่วยเหลือ” ที่ว่านั้นของพวกเจ้าเลยนะ เช่นนี้…ก็ถือว่าข้าไม่ได้ติดหนี้พวกเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ทันใดนั้นชายมีเคราก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นทันที
“คนที่เจี่ยนเฟิงฉือพามา ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกับเขานั่นแหละ! หากเจ้าไม่รับไมตรีเช่นนั้นก็รับการโจมตี แล้วอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ หายไป ราวกับว่ามีชั้นน้ำแข็งบางๆ เข้ามาปกคลุม แววตาของนางเย็นชา ทำให้รู้สึกหนาวถึงกระดูก
“เจ้าเอาจริงใช่หรือไม่?”