ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 520 เจ้านายคนเก่า
ตอนที่ 520 เจ้านายคนเก่า [รีไรท์]
ถ้าตามการคาดการณ์ของเขา ในเวลานี้น่าจะเหลือเพียงแค่คนที่มีพรสวรรค์ในชีพจรตี้จิงอย่างแท้จริงเท่านั้น
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสามารถอยู่รอดได้ถึงตอนนี้?
หรือว่าในตัวของนางมีของวิเศษอันใดอยู่หรือไม่?
“ตอนนี้มู่ชิงเห่ออยู่ที่ใด?” เขาถามขึ้น
“คุณชายใหญ่ก่อนหน้านี้ท่านได้ให้เขาไปช่วยจัดการงานไม่ใช่หรือ… ตอนนี้เขาน่าจะยังไม่กลับมา” คนติดตามพูดเตือนเสียงเบา
เจียงอวี่เฉิงชะงักไป แล้วกุมขมับของตนเองทันที
ช่วงหลายวันมานี้ เขาอาจจะเหนื่อยเกินไป คาดไม่ถึงว่าเรื่องเช่นนี้ก็ลืมได้
“ให้เขาไปเจอข้าที่สวนวั่นจิ่น”
สวนวั่นจิ่นเป็นเหลาอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซีหลิง ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราและบรรยากาศที่งดงาม
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า สวนวั่นจิ่นนั้นเป็นฐานของเขา
“…ท่านหมายถึง…ตอนนี้หรือขอรับ?”
เจียงอวี่เฉิงหันไปมองทางกระดานหยกสีดำ แล้วพยักหน้าพร้อมพูดขึ้นเบาๆ ว่า
“ถูกต้อง ไปตอนนี้แหละ”
เมื่อพูดจบเขาก็หมุนตัวแล้วเดินออกมา
“กวนฮ่าว ส่งคนจับตาดูสถานการณ์ต่อไป หากมีอันใดผิดปกติให้รีบแจ้งข้าทันที”
กวนฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็สามารถเดาได้ว่า คำว่า “ผิดปกติ” นั่นหมายถึงอย่างใด
“ขอรับ!”
…
ตอนที่เจียงอวี่เฉิงมาถึงสวนวั่นจิ่น มู่ชิงเห่อก็มารออยู่ในห้องแล้ว
เมื่อเห็นเจียงอวี่เฉิงเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“คารวะคุณชายใหญ่”
เขาเป็นรองแม่ทัพทหารม้าทมิฬที่มีแต่ความเย็นชาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเจอหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลเจียง เขาก็ให้เกียรติอีกฝ่ายอย่างมาก
เจียงอวี่เฉิงนั่งลง
“เจ้าก็นั่งลงเถอะ”
มู่ชิงเห่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรินชาสองถ้วย เขาจึงยอมนั่งลง
กวนฮ่าวเดินออกไปแล้ว แล้วปิดประตูลงเบาๆ ก่อนจะยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก
มู่ชิงเห่อหลุบตาลงต่ำ
“ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่รีบร้อนเรียกข้ามาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”
เจียงอวี่เฉิงยกแก้วชาขึ้นมา แล้วเป่าเบาๆ กลิ่นหอมของชาก็เข้าจมูก
“ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอันใด ข้าแค่อยากจะคุยกับเจ้าเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“คุณชายใหญ่ถามข้ามาได้เลย หากข้าน้อยรู้ข้าน้อยจะตอบทุกอย่าง”
เจียงอวี่เฉิงลูบถ้วยชาไปมา แต่ไม่ได้ดื่มเสียที จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองหน้ามู่ชิงเห่อ
“ฉู่หลิวเยว่…เจ้าเป็นคนพามาสินะ?”
มือของมู่ชิงเห่อที่วางไว้บนตักสั่นเล็กน้อย แต่ไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ขอรับ”
“แล้วเหตุใดคนด้านนอกจึงบอกว่าเจี่ยนเฟิงฉือเป็นคนพานางมา เรื่องมันเป็นอย่างใดกันแน่”
มู่ชิงเห่อชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าสถานการณ์ในตอนนั้นอย่างสั้นๆ ให้เขาฟัง
“…ดังนั้น ข้าน้อยจึงเดินทางกลับมาก่อน อีกทั้งยังขอให้เจี่ยนเฟิงฉือเป็นคนพานางมา ส่วนทางด้านของงานหมื่นทูร เวลาที่ลงทะเบียนนั้นน่าจะมีการเข้าใจผิดอยู่ ดังนั้นจึงใส่ชื่อของเจี่ยนเฟิงฉือลงไป”
เจียงอวี่เฉิงไม่ได้ยิ้ม แต่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“หลิ่วสิงอีนั้นไม่ชอบเจี่ยนเฟิงฉือมาโดยตลอด น่าจะเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจ”
คนไร้สมองแบบนี้ แต่กลับเป็นสายเลือดเดียวกับเจ้านายตระกูลซั่งกวนของเขาคนนั้น
เขาเองก็ไม่คิด ไม่ว่าจะเป็นซั่งกวนหว่านหรือว่าเจียงอวี่เฉิง ต่างไม่มีทางทำให้เจี่ยนเฟิงฉือช่วยเรื่องแบบนี้แน่นอน
คาดไม่ถึงว่าเขายังรอโอกาสที่จะแก้แค้นอยู่…
ไม่ดูเลยว่าคนที่สามารถพูดให้เจี่ยนเฟิงฉือช่วยได้นั้นเป็นใครกันแน่!
มู่ชิงเห่อครุ่นคิดสักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า
“แต่คำพูดเหล่านี้เหมือนว่าจะแพร่ไปทั่วเมืองซีหลิงแล้ว เช่นนั้นให้ข้าน้อยไป…”
“ไม่ต้อง คนพวกนั้นจะคิดอย่างใดไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญตอนนี้คือ…ฉู่หลิวเยว่ มู่ชิงเห่อตอนที่เจ้ากลับมา เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า ฉู่หลิวเยว่คนนี้มีความลับที่เก็บไว้ที่ตัวมากขนาดไหนกัน”
เจียงอวี่เฉิงวางถ้วยชากลับไปบนโต๊ะ ทำให้เกิดเสียงไม่เบาไม่ดัง
มู่ชิงเห่อขมวดคิ้วเบาๆ
“ข้าน้อยโง่เขลา ไม่เข้าใจว่าคุณชายกำลังพูดเรื่องอันใดอยู่?”
เจียงอวี่เฉิงหัวเราะแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าตอนนี้นางยังอยู่ที่อาณาจักรเทพเทียนลิ่งอยู่เลย? คนเข้าไปมีประมาณสองร้อยคน ตอนที่ข้าออกมาเหลืออยู่สิบสามคน นางเป็นหนึ่งในนั้น แต่นางเป็นคนที่มีชีพจรตี้จิงระดับกลางเท่านั้น อีกทั้งเป็นนักรบระดับสาม เจ้าคิดว่า นางสามารถอยู่ในนั้นได้อย่างใด?”
รูม่านตาของมู่ชิงเห่อหดเล็กลง
เขารู้ดีว่าฉู่หลิวเยว่มีความสามารถ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะสามารถอยู่ได้ถึงตอนนี้
“สมแล้วที่มาจากแคว้นเย่าเฉิน…” เจียงอวี่เฉิงพูดขึ้นอย่างมีความนัย
มู่ชิงเห่อลุกขึ้นทันที แล้วรีบทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้นว่า
“คุณชายใหญ่เฉียบแหลม ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้เป็นคนที่มีความอดทนอย่างมาก ไม่เช่นนั้นข้าน้อยไม่พานางมาเข้าร่วมงานหมื่นทูรครั้งนี้หรอก แต่…ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่า…”
“ไม่ต้องกังวล”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มแล้วโบกมือไปมา ท่าทางดูผ่อนคลายอย่างมาก
“หากเป็นเช่นนี้ องค์หญิงสามรู้เข้า จะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
มู่ชิงเห่อตามองต่ำ น้ำเสียงไร้อารมณ์
“ขอรับ”
“ไม่ว่าอย่างใดก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก และข้าก็แค่สงสัยขึ้นมาเท่านั้น”
เจียงอวี่เฉิงเอนตัวไปด้านหน้า แล้วจ้องหน้ามู่ชิงเห่อก่อนจะถามว่า
“หรือเจ้าไม่คิดว่า หน้าตาของฉู่หลิวเยว่นั้นคล้ายกับคนคนหนึ่ง?”
ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ น้ำเสียงก็อบอุ่นอ่อนโยน ราวกับว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด
มู่ชิงเห่อยกชายเสื้อขึ้น แล้วคุกเข่าลงกับพื้น!”
“คุณชายใหญ่ปราดเปรื่อง แต่ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนานั้นอย่างแน่นอน เพียงแค่ที่แคว้นเย่าเฉินมีเด็กคนนี้เพียงคนเดียวที่มีพรสวรรค์ในชีพจรตี้จิง ดังนั้น…ข้าน้อยจึงจำเป็นต้องพานางมาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่แคว้นเย่าเฉินอีกต่อไป”
เจียงอวี่เฉิงจ้องหน้าเขา สายตาแหลมคมเหมือนมีด
ภายในห้องเงียบสนิท
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เจียงอวี่เฉิงก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้าก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้น เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกขนาดนี้ ถ้าพูดดีๆ ความจริงแล้วก็คล้ายเพียงสามส่วนเท่านั้น บนโลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันตั้งมากมาย ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอันใด”
ความจริงแล้วเขาให้คนไปสืบเรื่องฉู่หลิวเยว่มาก่อนแล้ว
ดูจากข้อมูลของนาง ก็ไม่มีส่วนไหนที่ผิดปกติเลย
ที่สำคัญที่สุดคือ นางเพิ่งอายุสิบสี่เท่านั้นเอง
มู่ชิงเห่อถอนหายใจออกมา
“ขอบคุณคุณชายใหญ่ขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอนหลังพิงเก้าอี้
“นี่ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง หากมีคนอื่นให้เลือก เจ้าจะเลือกฉู่หลิวเยว่ได้อย่างใด? แต่ท้ายที่สุดแล้ว…เจ้านายเก่าของเจ้า ให้ความจริงใจกับเจ้าเสียขนาดนั้น”
มู่ชิงเห่อกระแทกศีรษะลงกับพื้นทันที
“ข้าน้อยมีเพียงคุณชายใหญ่เป็นเจ้านายเพียงคนเดียวตลอดมาขอรับ”
ศีรษะของเขาแนบอยู่กับพื้นเย็นๆ มันเย็นมากราวกับทำให้หัวใจถูกแช่แข็ง
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไร้เสียง เหมือนจะทำให้คนอึดอัดจนหายใจไม่ออก ในที่สุดเจียงอวี่เฉิงก็ยืนขึ้น แล้วเข้าไปพยุงเขาให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้าทำอันใดน่ะ? ข้าเชื่อใจเจ้าเสมออยู่แล้ว”
มู่ชิงเห่อรีบลุกขึ้นยืน “ขอบคุณคุณชายใหญ่”
หน้าผากของเขามีรอยช้ำอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาเอาศีรษะกระแทกพื้นนั้นรุนแรงเพียงใด
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องที่ข้าสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ก็ทำตามแผนเดิม ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
นี่เป็นคำเตือนห้ามให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องงานหมื่นทูรอีก
“ขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงพูดจบ ก็สาวเท้าเดินออกไป
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ
เขามองไปที่ถ้วยชาสองใบที่อยู่บนโต๊ะ
เจียงอวี่เฉิงนั้นยังไม่ได้ดื่มชานั้นลงไปแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง
ปีศาจแดงก็มาเกาะอยู่ที่ไหล่ของเขา และมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้
ก่อนหน้านี้มันมีชีวิตชีวาดีมาก แต่ตอนนี้กลับกระสับกระส่าย ไม่ยอมร้องออกมาสักคำ
มู่ชิงเห่อหลับตาลงครู่หนึ่ง เมื่อหลับตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเขาก็กลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็สาวเท้าเดินออกไป