ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 538 ลาจาก
ตอนที่ 538 ลาจาก [รีไรท์]
เมื่อเจียงอวี่เฉิงเดินทางมาถึงตำหนักฮวาหยาง ก็พบเข้ากับซั่งกวนหว่านที่กำลังรอตนอยู่
“อวี่เฉิง! เจ้ามาแล้ว!”
ซั่งกวนหว่านที่เห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา ก็รีบพุ่งตัวออกไปหาอีกฝ่ายอย่างระริกระรี้ พลางเตรียมมุดเข้าไปในอ้อมแขน
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว พร้อมสีหน้าเรียบเฉย
“ถวายบังคมองค์หญิงสาม”
ซั่งกวนหว่านที่คว้าได้เพียงอากาศ ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“ทำอันใดของเจ้า?”
เจียงอวี่เฉิงเอ่ยตอบ
“ตอนนี้ข้ากับองค์หญิงยังมิได้อภิเษกสมรสกันอย่างเป็นทางการ ฉะนั้นเราไม่ควรพบกันเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ และทุกอย่างควรเป็นไปตามกฎของราชวงศ์ถึงจะถูกต้อง”
ซั่งกวนหว่านหัวเราะอย่าง “ประชดประชัน” พลางเอื้อมมือไปดึงแขนของเขา
“อวี่เฉิง ที่นี่ตำหนักฮวาหยางนะ ไม่มีคนนอกเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก อีกอย่าง หากนี่เป็นความประสงค์ของข้าแล้ว มีหรือที่คนเหล่านั้นจะกล้าขัด?”
ในเมื่อพระราชวังทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนางแล้ว นางจะยังต้องกลัวอันใดอีก?
คราวนี้เจียงอวี่เฉิงไม่ได้ผลักมือของนางออกไป เพียงแต่เหลือบมองสาวใช้ในวังที่อยู่ข้างๆ นางด้วยสายตาคลุมเครือ
“ฉานอี้ เจ้าออกไปก่อน”
ซั่งกวนหว่านเอ่ยปากสั่ง
“เพคะ”
สาวใช้คนนั้นก้มหัวให้นางอย่างสุภาพ พลันถอยหลังแล้วจากไป
เจียงอวี่เฉิงพลิกมือกลับมาจับมือบางของซั่งกวนหว่าน
“เราสองคนเข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า ซุนฉี เจ้าคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก”
ซุนฉีตอบรับอย่างว่องไว “ขอรับ”
เจียงอวี่เฉิงพาซั่งกวนหว่านเข้าไปข้างในห้องส่วนตัว และตรวจสอบประตูหน้าต่างทั้งหมดอย่างระมัดระวัง
ซั่งกวนหว่านขำขันกับท่าทีของเขา และพูดราวไม่ใส่ใจ
“เจ้าระวังตัวเกินไปแล้ว อวี่เฉิง! หรือเจ้าคิดว่าตำหนักฮวาหยางของข้าไม่ปลอดภัย?”
สุดท้ายเมื่อเจียงอวี่เฉิงมั่นใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เขาจึงหันหลังกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดอย่างอดทน
“รอบคอบไว้ก่อน ย่อมไม่เสียหาย และที่ข้าทำไปก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น”
พอซั่งกวนหว่านได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นมาก ก่อนจะขยับเข้าใกล้อีกคนเพราะต้องการแนบชิด
ทว่าเจียงอวี่เฉิงกลับมาได้คิดเหมือนนาง
“วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิมา แต่อาการป่วยของฝ่าบาททรงไม่ดีขึ้นเลย ดูเหมือนว่าวิธีการรักษาที่ใช้ จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซั่งกวนหว่านก็หมดความสนใจในตัวเขาทันที และทำเพียงนั่งลงข้างๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ก็ตอนนั้นใครใช้ให้เจ้าอ่อนหัดไร้ฝีมือกันเล่า ตอนนี้เราจึงทำได้แค่รอเวลาเท่านั้น และเซียนหมอที่น่าเชื่อถือก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน”
นัยน์ตาของเจียงอวี่เฉิงฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง
ความจริงแล้วตอนนั้นเขามอบหมายภารกิจนี้ให้ซั่งกวนหว่าน แต่นางกลับทำได้ไม่ดีนัก และพอมาวันนี้นางกลับโยนความผิดทั้งหมดให้เขาเสียอย่างนั้น
แต่เถียงกับนางตอนนี้ ก็จะมีแต่เปล่าประโยชน์
อีกทั้งยามนี้ พวกเขาก็ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่จะพูดคุยกันอยู่อีก
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ว่าแต่ที่เจ้าเรียกหาข้าค่ำมืดเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องงานหมื่นทูร ใช่หรือไม่?”
เจียงอวี่เฉิงพูดออกมาตรงๆ
ดวงตาของซั่งกวนหว่านเป็นประกายในทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและปีติยินดี
“ถูกต้อง! ซุนฉีคงบอกเจ้าเรื่องงานหมื่นทูรแล้วสินะ? เห็นว่าผู้ที่ได้อันดับหนึ่งนั้นมีนามว่าฉู่อันใดสักอย่าง…”
“ฉู่หลิวเยว่” เจียงอวี่เฉิงเสริมให้
“ใช่ๆ! ชื่อนี้แน่นอน! ข้าได้ยินว่านางเป็นเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสี่สิบห้า? อีกทั้งยังเป็นคนที่มู่ชิงเห่อพามาด้วย?”
เจียงอวี่เฉิงแอบเหลือบมองนางด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบ และไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาเพียงพยักหน้าและพูดว่า
“วันนี้นางไม่เพียงแต่ทะลวงถึงระดับสามได้ แต่ยังคว้าอันดับหนึ่งไปครองอีกด้วย ผู้ชมทุกคนต่างประหลาดใจกันยกใหญ่ แต่ทว่า…”
“อันใดกัน? อวี่เฉิง นี่เจ้าไม่รู้หรือว่านางทะลวงผ่านขอบเขตจนกลายเป็นนักรบระดับสี่แล้ว?” ซั่งกวนหว่านขัดจังหวะเขา
เจียงอวี่เฉิงถึงกับชะงัก
ซั่งกวนหว่านเหยียดยิ้มอย่างมีเลศนัยทันควัน
“อีกทั้งยังทะลวงขณะอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งด้วย! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความเช่นไร? ก็หมายความว่า พลังของนางเข้ากันได้กับอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างใดเล่า!”
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วขบคิด
“แต่ชีพจรดั้งเดิมของนางอยู่ระดับกลางนะ ไม่มีทางที่นางจะเทียบพวกระดับสูงนั่น…”
“เหตุใดจะเทียบไม่ได้?”
ซั่งกวนหว่านยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น และความปลื้มปีติที่ปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างปิดไม่มิด
“ชีพจรดั้งเดิมของนางอยู่ระดับกลาง แต่ทักษะของนางดีกว่าพวกระดับสูงเสียอีก! เห็นได้ชัดว่าชีพจรดั้งเดิมของนาง…”
“หว่านเอ๋อ มันยังเร็วไปที่จะพูดเช่นนี้ พวกเราต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพื่อความปลอดภัยมิใช่หรือ?” เจียงอวี่เฉิงไม่อยากฟังสิ่งที่นางจะพูดต่อไป ก่อนจะเอ่ยแทรกอีกครา “จนกว่าฝ่าบาทจะตื่นขึ้นมา เราจะไม่หุนหันพลันแล่นเด็ดขาด”
ซั่งกวนหว่านชะงัก พลันกวาดตามองเขาขึ้นลงด้วยความสงสัย
“อวี่เฉิง วันนี้เจ้าเป็นอันใดไป? ข้าแค่คิดว่าทุกอย่างราบรื่นดีและมีความสุขกับมันเท่านั้น? หรือเจ้าไม่ชอบที่ข้ามีความสุข?”
เจียงอวี่เฉิงรีบตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวลลง “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใด? ข้ากับเจ้ารอโอกาสนี้มานานแล้วมิใช่หรือ? ทว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเจ้า ข้าจึงกังวลมากเกินไปหน่อย”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แต่เหมือนว่าเจ้า…”
“เพียงข้าคิดว่าเจ้าอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานทำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ หัวใจของข้าก็ปวดร้าวไปหมด” เจียงอวี่เฉิงลุกขึ้นยืนแล้วจับมือนาง พลางดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน
ซั่งกวนหว่านเอ่ยเสียงต่ำ
“แต่ข้ารอไม่ไหวแล้ว! ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ข้าได้แต่หวาดผวาทุกคืนวัน และหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนรู้เรื่องที่ชีพจรดั้งเดิมของข้าได้รับความเสียหาย! แล้วโดนตีตราด่าว่าเป็นคนโง่เขลา! หากข้าไม่รีบหาทางรักษาให้ทันก่อนวันงานพิธีมาถึงล่ะก็ ทุกอย่างจำต้องสูญสิ้นเป็นแน่!”
หากเทียบกับความเจ็บปวดยามสูญเสียทุกอย่างแล้ว ทนเจ็บปวดเสียตั้งแต่ตอนนี้จักเป็นอันใดไป?
เจียงอวี่เฉิงลูบแผ่นหลังนางเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง มันจะไม่เป็นไร พวกเราค่อยๆ ดำเนินการตามแผนอย่างดีมาตลอด ข้าสัญญาว่าจะไม่มีปัญหาอันใดเกิดขึ้น ถ้าเกิดเจ้าตื่นตระหนกเอาตอนนี้ ทุกสิ่งก็จะไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที เข้าใจแล้วหรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง และเงยหน้ามองเขา
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างใดต่อ?”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มบาง
“ก็ทำตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ วันพรุ่งเหล่าสำนักวิชาที่มีชื่อเสียงจะพาคนของพวกเขาไปยังสวนซิน
หลี่ เหล่าผู้เข้าประลองเองก็จะไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นด้วย หากเจ้าเดินทางไปถึง เจ้าก็นั่งดูสถานการณ์เงียบๆ และทำในสิ่งที่องค์หญิงลำดับสามควรทำก็พอ ตราบใดที่เจ้าคุมคนในเมืองซีหลิงอยู่ เจ้าจะยังกลัวพวกเขาหนีหายไปใย?”
ในไม่ช้าซั่งกวนหว่านก็คล้อยตามเจียงอวี่เฉิง
“ตกลงตามนั้น ข้าเองก็อยากไปนั่งสังเกตคนเหล่านั้นเช่นกัน โดยเฉพาะนางผู้นั้น…ฉู่หลิวเยว่?”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย ดวงตาคู่คมทอแสงสีเข้มขึ้นทันควัน
…
ณ จวนมู่
ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวเดินตามต้วนจืออวี่ไปยังห้องโถงด้านหน้า
ก่อนจะพบเข้ากับมู่ชิงเห่อที่กำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ที่นั่น
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่พาเชียงหว่านโจวเข้าไปโค้งคำนับเขา
ดวงตาเรียวคมของมู่ชิงเห่อตวัดมองฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า
“ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับพวกเจ้า ที่คว้าตำแหน่งที่ดีที่สุดจากงานหมื่นทูรมาเลย”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยปฏิเสธอย่างถ่อมตนเช่นเคย พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซึ่งนั่นทำให้มู่ชิงเห่อจ้องมองนางเขม็ง
“อันใดกัน คนของจวนมู่ใช้ไม่ได้หรือ?”
เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นตามตัวของต้วนจืออวี่ทันควัน
แต่ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า พลันอธิบาย
“คนของจวนมู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีไร้ที่ติ และข้าก็ซาบซึ้งในความช่วยเหลือของรองแม่ทัพมู่มาก ทว่ามาถึงเมืองซีหลิงทั้งที จะให้ข้าเอาแต่พำนักอยู่ที่นี่ โดยไม่ทำอันใดเลยคงไม่ได้ แค่นี้ข้าก็รู้สึกว่าเสียเวลาไปพอสมควรแล้ว ฉะนั้นข้าจึงคิดว่า…ข้าควรย้ายออกไปอยู่ที่อื่นจะดีกว่า”