ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 539 สวนเทพเนรมิต
ตอนที่ 539 สวนเทพเนรมิต [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น การแสดงออกของนางดูจริงจัง อีกทั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เพียงมู่ชิงเห่อสบตากับนาง ก็สัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ที่แผ่ซ่านออกมาแล้ว
เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ
“เจ้าไม่มีญาติสนิทมิตรสหายที่เมืองซีหลิง แถมยังรู้จักเพียงไม่กี่คน เช่นนั้นแล้วพักอยู่ที่จวนมู่จะไม่สบายกว่าหรือ? นอกจากนี้ หากพึ่งพาคนของจวนมู่ ก็สามาถช่วยเจ้าลดปัญหายิบย่อยต่างๆ ลงไปได้มาก”
ฉู่หลิวเยว่โต้กลับทันที “รองแม่ทัพมู่ ข้าแค่คิดว่าการที่คนนอกอย่างข้า พาเสี่ยวโจวเข้ามาพักที่นี่ ก็ถือเป็นการสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว…”
“แม้จวนมู่จะไม่ใช่ตำหนักของพวกขุนนาง แต่ก็สามารถเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเจ้าทั้งสองได้อย่างดีเช่นกัน”
เขาเอ่ยแทรกพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฉู่หลิวเยว่อย่างลึกซึ้ง
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอราวทำอันใดไม่ถูก
ก่อนจะนึกถึงเรื่องผลึกสีขาวเก้าหมื่นผนึกที่นางใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายขึ้นมา…
“…หลิวเยว่ผู้นี้ทราบซึ้งในความกรุณาของรองแม่ทัพมู่อย่างสุดซึ้ง แต่ทว่า…ข้าติดหนี้บุญคุณรองแม่ทัพมู่มากเกินไปแล้ว และข้าไม่ต้องการรบกวนท่านอีก…”
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะทำเป็นเนียนพูดไป แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก็ได้ยินและเข้าใจดีว่านางจะไม่เปลี่ยนใจ
มู่ชิงเห่อหลุบสายตาลงต่ำ พลางครุ่นคิด
ส่วนฉู่หลิวเยว่เองก็เงียบ เพื่อรอฟังคำตอบของเขา
ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัด ที่แม้แต่เข็มเย็บผ้าหล่นลงพื้นก็ยังได้ยิน
ผ่านไปสักพัก มู่ชิงเห่อก็ลุกพรวดขึ้นยืน
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว รองแม่ทัพผู้นี้จะไม่หยุดเจ้า แต่ทันทีที่เจ้าออกจากจวนมู่ สิ่งอำนวยความสะดวกก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะถูกยึดคืน”
เขาก้าวเท้าเดินออกไปสองก้าว พลันหยุดชะงัก
“แต่ข้าจะมอบเงินหนึ่งหมื่นผลึกไว้ให้เจ้า เพื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าแม้แต่ในยามที่นางจะจากไป มู่ชิงเห่อก็ยังมอบความช่วยเหลือให้แก่นาง
นางรีบตอบรับอย่างเร็ว
“ขอบคุณน้ำใจของรองแม่ทัพมู่มาก แต่ข้ารับเงินนั่นไว้ไม่ได้”
มู่ชิงเห่อเหลือบมองนางอย่างสงสัย
หากมองจากนิสัยการใช้เงินของนางแล้ว เงินจำนวนเพียงหนึ่งหมื่นผลึกนั้นคงทำให้นางอยู่รอดได้เพียงไม่กี่วัน ทว่าเช่นนั้นแล้วเหตุใดนางจึงไม่รับเงินไปเล่า? หรือนางคิดจะออกไปอยู่แบบอดๆ อยากๆ อย่างนั้นหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ที่ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเช่นไร ก็พลอยขมวดคิ้วนิดๆ
“ท่านวางใจเถิด นายน้อยเจี่ยนเอาตำแหน่งของข้าไปพนัน จนได้เงินมามากมาย และเขาก็ตกลงจะมอบส่วนแบ่งให้ข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองไปพักใหญ่เลยทีเดียว”
มู่ชิงเห่อทำสีหน้าเย็นชา ทว่าพริบตาก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
เขาเงียบไม่พูดไม่จา ก่อนจะเดินออกไปทันที
ฉู่หลิวเยว่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไป พลันเลิกคิ้วอย่างุนงง
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่นางรู้สึกได้ว่าเหมือนเขากำลังไม่พอใจอันใดบางอย่าง?
ทว่านั่นก็เป็นเพียงความคิดที่แวบเข้ามาเท่านั้น
มู่ชิงเห่องานยุ่งมาก คนอย่างเขาคงไม่มาเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อย ของนางหรอก?
จากนั้นนางก็หันมามองต้วนจืออวี่
“คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ากับเสี่ยวโจวจะพักที่นี้เป็นคืนสุดท้าย พอรุ่งเช้าพวกเราก็จะออกเดินทางทันที”
เช่นนี้แล้วต้วนจืออวี่จะแย้งอันใดได้?
เห็นได้ชัดว่าท่านรองแม่ทัพไม่ต้องการให้นางย้ายออกไปพักที่อื่น มิฉะนั้นเขาคงไม่พูดประโยคนั่นออกมา
แต่ก็ไม่รู่ว่าฉู่หลิวเยว่นั้นไม่เข้าใจหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถึงได้ปฏิเสธเจ้านายเขาไปตรงๆ เช่นนั้น
“ตามที่ท่านต้องการเลยขอรับ”
เมื่อพูดจบ ต้วนจืออวี่ก็ถอยหลังออกไปแล้วขอตัวลา
ฉู่หลิวเยว่พาเสี่ยวโจวกลับไปยังห้องพักเล็กๆ ของตน
“ไม่กี่วันมานี้เราแข่งกันดุเดือดมาก ฉะนั้นวันนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ และพรุ่งนี้ยังต้องไปที่สวนซินหลี่อีก” ฉู่หลิวเยว่ชี้แนะอีกเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปห้องนอนอีกด้าน
แต่ในขณะกำลังจะเข้าประตูไป จู่ๆ เชียงหว่านโจวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังก็พูดว่า
“เขาต้องโกรธเจ้าแน่ๆ”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักแล้วหันกลับไปมอง
“เจ้าว่าเช่นไรนะ เสี่ยวโจว?”
เชียงหว่านโจวจ้องตานางกลับ
“ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ตัดพ้อเจ้าแบบนี้”
ใบหน้างามของฉู่หลิวเยว่นิ่งค้าง ไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ครู่หนึ่งมุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับทอแสงเย็นเยียบ พลันหายวับไป
“เจ้าตาฟาดแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกแย่เพราะข้าเสียหน่อย”
สิ้นประโยค ร่างบางก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องนอนไปทันที
ส่วนเชียงหว่านโจวก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขาเป็นคนอ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มาโดยตลอด
แต่นางกลับพูดเช่นนั้น?
หรือว่าเขา…จะคิดมากไปเอง?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เชียงหว่านโจวก็คิดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงทิ้งความคิดเหล่านั้นไปเสีย และกลับไปยังห้องของตัวเอง
…
เมื่อค่ำคืนอันเงียบสงบผ่านพ้นไป
แสงตะวันแห่งเช้าวันใหม่ก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เก็บของเรียบร้อยแล้ว นางก็เตรียมเดินไปบอกลามู่ชิงเห่อ แต่ต้วนจืออวี่แจ้งว่าอีกฝ่ายออกไปจากจวนตั้งนานแล้ว นางเองจึงรีบออกเดินทางไปพร้อมกับเชียงหว่านโจวเช่นกัน
แม้ว่างานหมื่นทูรจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เมืองซีหลิงก็ยังคงมีชีวิตชีวาไม่เปลี่ยน
ชายหญิงสองคนเดินไปตามถนน และถูกชาวเมืองหลายคนจำได้
แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เนื่องจากทั้งสองคนมีลักษณะและรัศมีที่พิเศษเกินไป ประชาชนทั่วไปจึงสามารถจดจำพวกเขาได้ในพริบตา แม้ว่าทั้งคู่จะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ตาม
ที่สายตาเหมือนถูกดึงดูดให้มองตาม แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเดินเข้าไปใกล้พวกเขา
ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปทางไหน คนเหล่านั้นต่างหลีกทางให้โดยมิจำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
และยิ่งใกล้ถึงสวนซินหลี่ กลุ่มคนรอบด้านก็ยิ่งบางตาลง
กระทั่งเดินไปจนเกือบสุดทาง ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นว่ามีทหารม้าทมิฬมาคอยอยู่ที่นี่แล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เพราะจะเห็นได้ว่าคนที่มาในวันนี้ ไม่ใช่คนระดับต่ำเลยสักคน
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นรัว พลางเดินไปข้างหน้าพร้อมเชียงหว่านโจว
คนที่เคยเฝ้าประตูสวนซินหลี่ ยามนี้ถูกแทนที่โดยผู้อาวุโสสองคน
ฉู่หลิวเยว่แอบคาดหวังในใจให้คนเหล่านี้ยอมรับตน
นางเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ
ผู้อาวุโสทั้งสองจำฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวได้ แต่ต้องตรวจสอบคนทั้งสองอย่างระมัดระวังเสียก่อน ถึงจะยอมปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
จากนั้นก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งก้าวออกมา
“พวกเจ้าทั้งสอง เชิญตามข้ามา”
ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวพยักหน้ารับปาก พร้อมก้าวเท้าออกไป
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“ไม่ทราบว่าเราสองคนต้องไปที่ใดหรือ?”
เด็กรับใช้กล่าว
“ไปที่สวนเทพเนรมิต”
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก พลันเดินช้าลงครึ่งก้าว
เชียงหว่านโจวเหลือบมองนางเล็กน้อย
ทว่าเพียงพริบตา ฉู่หลิวเยว่ก็ดึงสติกลับมาได้
สวนเทพเนรมิตหรือ…
“ใบโพธิ์สีทองม่วงเองก็อยู่ที่นั่น!”
เจ้าอินทรีสามตาโพล่งออกมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง!