ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 550 อย่าได้สนใจ
ตอนที่ 550 อย่าได้สนใจ [รีไรท์]
“โกหก!”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า พร้อมชี้หน้าด่าทอฉู่หลิวเยว่
“ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนชิงกระบี่หลงหยวนไป!”
“จะจริงหรือหลอก ไว้ลองให้ผู้อาวุโสสักคนเข้าไปดูในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์ เดี๋ยวก็รู้เอง”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น แล้วปัดมือของหยางเซิ่นเอ๋อร์ออกไป
“แน่นอนว่าองค์หญิงสามก็สามารถเข้าไปตรวจสอบดูได้ด้วยตัวท่านเองนะเพคะ จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่โกหก”
ซั่งกวนหว่านกัดฟันกรอด
นางเองก็อยากเข้าไปใจจะขาด!
ทว่าชีพจรดั้งเดิมของนางเสียหาย หากเข้าไปก็มีแต่ตายสถานเดียว!
หนึ่งปีมานี้นางพยายามอย่างหนักเพื่อหลบซ่อนความจริงข้อนั้น และพยายามไม่ให้คนอื่นเห็นว่านางมีปัญหาในการฝึกตน
ซึ่งถ้านางย่างกรายเข้าไปในอาณาเซียนเทพของราชวงศ์ล่ะก็ เรื่องโกหกเหล่านั้นก็จะถูกเปิดเผยทันที!
นางระงับความโกรธและไม่เต็มใจไว้ พลันหันหลังกลับและเดินไปอยู่ข้างเจียงอวี่เฉิง
และเจียงอวี่เฉิงที่อ่านสีหน้านางออก ก็รีบเอ่ยออกมาทันควัน
“เดี๋ยวข้าจะให้ผู้อาวุโสตวนมู่เข้าไปตรวจสอบ”
ซั่งกวนหว่านพยักหน้าตอบ แต่อารมณ์ในใจของนางยังไม่สามารถสงบลงได้
เจียงอวี่เฉิงรู้ว่าวันนี้นางได้รับการกระตุ้นทางอารมณ์อย่างมาก โดยเริ่มจากฉู่หลิวเยว่ และตามด้วยเรื่องอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์
หากอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่เหมาะแน่
เขาเบนสายตาไปมองพวกของฉู่หลิวเยว่
“เช่นนั้นก็หยุดเรื่องของพวกเจ้าไว้เท่านี้ก่อน และรอจนกว่าผลการตรวจสอบจะออกมา จากนั้นข้ากับองค์หญิงสามจะทำการพิจารณาอีกที”
ฉู่หลิวเยว่อยากจะออกไปนานแล้ว เพราะยิ่งเห็นใบหน้าของสองคนนั้น นางก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
ถ้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ คงได้อาเจียนออกมาแน่นอน
ดังนั้นนางจึงรีบตอบโดยไม่ลังเล และหันหลังเตรียมเดินออกไป
“ไปกันเถอะ เสี่ยวโจว”
หยางเซิ่นเอ๋อร์หันมองหน้ากันกับหนิงเจียวเจียว
นี่มันอันใดกัน?
พวกนางทำงานหนักและวางแผนโค่นฉู่หลิวเยว่ลงมาจากตำแหน่งอย่างดี แต่สุดท้ายกลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้หรือ?
หนิงเจียวเจียวเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
“องค์หญิงสามเพคะ ท่านไม่ควรปล่อยฉู่หลิวเยว่ออกไปง่ายๆ เช่นนั้นนะ เพคะ! นาง…”
“พวกเจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดไปเมื่อครู่หรือ?” เจี่ยงอวี่เฉิงขัดจังหวะหนิงเจียวเจียวด้วยท่าทางเย็นชา
หนิงเจียวเจียวถึงกับผงะ ก่อนจะพูดต่อช้าๆ
“ดะ ได้ยินเพคะ…ข้า พวกข้ากำลังจะไป…”
หยางเซิ่นเอ๋อร์อยากจะพูดอันใดบางอย่าง แต่หลังจากเหลือบไปเห็นสีหน้าของเจียงอวี่เฉิง นางก็รีบกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไป
แม้ว่านางจะเพิ่งมาที่ซีหลิงได้ไม่นาน แต่นางก็ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเจียงอวี่เฉิง
ทางที่ดีอย่าเอาตัวเข้ายุ่งเกี่ยวกับชายผู้นี้จะดีกว่า
โฉวติ่งถอยหลังและเดินออกไปแล้ว
หยางเซิ่นเอ๋อร์กับหนิงเจียวเจียวนิ่งไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจ
…
ทันทีที่เดินออกจากห้องนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เหลือบไปเห็นอวี้ฉือซงที่รออยู่ไม่ไกล
และมีเย่หรานหร่านยืนอยู่ข้างกัน
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ทั้งสองก็มองไปพร้อมกัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล
เดิมทีพวกเขาอยากจะเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง ทว่ารอบตัวนั้นเต็มไปด้วยผู้ที่อยู่ใต้บัญชาขององค์หญิงสาม ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงยืนรอยู่ที่เดิม แล้วรอให้พวกของฉู่หลิวเยว่เดินออกมาเอง
“ฉู่หลิวเยว่ หว่านโจว เป็นอย่างใดบ้าง?”
พอพวกเขาเดินออกมา อวี้ฉือซงก็รีบพุ่งเข้าหาทันที
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบ
“พวกข้าน่ะหรือ? ก็แค่โดนองค์หญิงสามเรียกเข้าไปสอบถามเท่านั้น”
“จริงรึ?”
แน่นอนว่าอวี้ฉือซงไม่เชื่อง่ายๆ
ดูจากท่าทีของหยางเซิ่นเอ๋อร์เมื่อครู่แล้ว คงไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วแน่ๆ
“จริงแท้ ท่านว่าพวกเราดูเหมือนคนโดนเล่นงานมาหรือ? นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าว่าพวกเรารีบกลับกันจะดีกว่า?”
พออวี้ฉือซงเห็นว่าฉู่หลิวเยว่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะพูดอันใด เขาจึงไม่ถามคำถามใดๆ อีก และทำเพียงพยักหน้าตกลงกลับไป
“ดี! เช่นนั้นก็กลับกัน!”
…
กลุ่มของฉู่หลิวเยว่เดินออกจากลานอย่างสบายใจ
ผิดกับหยางเซิ่นเอ๋อร์และหนิงเจียวเจียวที่เดินออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
และเมื่อทั้งสองเดินออกจากประตู โฉวติ่งก็โผล่ออกมาขวางทางพวกนางไว้
ร่างของเขาสูงใหญ่เสมือนเนินเขาและเต็มไปด้วยแรงกดขี่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนอันใดอยู่ แต่ครั้งหน้า อย่าได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย!”
โฉวติ่งเอ่ยเสียงแข็ง
ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น แต่แล้วเขาก็เข้าใจ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต้องการโจมตีฉู่หลิวเยว่ และดึงเขาเข้าไปมีเอี่ยวด้วย!
เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาเลย แต่เมื่อได้เข้าไปรับรู้แล้ว! กลับกลายเป็นว่าเข้าถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์!
ถึงเขาจะไม่ถูกลงโทษ แต่ความรู้สึกของการถูกใช้นั้นช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!
หนิงเจียวเจียวกำลังอารมณ์เสีย และยังไม่พร้อมจะพูดดีๆ กับเขา จึงตอกกลับไปเสียงดัง
“เข้าใจแล้ว!”
โฉวติ่งมองสองคนนั้นอย่างเตือนๆ ก่อนจะเดินออกไป
หนิงเจียวเจียวเต็มไปด้วยความหงุดหงิด และในที่สุดก็ต้องหันไประบายความโกรธใส่หยางเซิ่นเอ๋อร์แทน
“ไหนเจ้าว่าทุกอย่างจะราบรื่น!? แล้วดูสิว่าตอนนี้เป็นเช่นไร!?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์เองก็หงุดหงิดไม่แพ้หนิงเจียวเจียวเลย
ฉู่หลิวเยว่โต้กลับเสียจนพวกนางจนตรอก
แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงกล้ายุให้ซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ เข้าไปตรวจสอบในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งแบบนั้น
เพราะนางจำได้ดีว่าตอนนั้นฉู่หลิวเยว่เป็นคนนำกระบี่ออกไปจากฐานของมัน!
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่มันจะยังอยู่ตรงนั้น?
หรือความจริงแล้วนางไม่ได้เอามันไป?
แต่…นางเห็นกระบี่หลวงหยวนตั้งอยู่ตรงนั้นจริงๆ!
เมื่อเห็นสิ่งที่ทรงพลังเช่นนั้นอยู่ตรงหน้า ฉู่หลิวเยว่จะไม่อยากครอบครองมันจริงๆ หรือ?
หนิงเจียวเจียวที่เห็นหยางเซิ่นเอ๋อร์นิ่งไปนาน จึงหมดความอดทนและเอื้อมมือออกไปผลักอีกคน
“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ! เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ปัดมืออีกฝ่ายด้วยหลังมือของตน พลันเอ่ยอย่างโกรธเคือง
“ข้าได้ยินแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าพอใจรึ!? ใยไม่เอาเวลาบ่นข้าไปคิดแผนต่อไปเล่า!”
หนิงเจียวเจียวที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่จอมเอาแต่ใจ นั้นไม่ค่อยเจอคนปฏิบัติต่อนางแบบนี้ และไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายคือ หยางเซิ่นเอ๋อร์ที่ไม่ได้มีภูมิหลังใหญ่โตอันใดเลย!
นางกอดอกแล้วพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าหมายความเช่นไร? เจ้าไม่ใช่หรือที่มาขอให้ข้าช่วยพูดเรื่องนี้ให้? เจ้าดึงข้าให้ตกต่ำ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความผิดของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังจะโทษข้าอีก!? ถ้าตอนนั้นเจ้ามองเห็นชัดๆ ไปเลยว่าใครหยิบไป เหตุการณ์คงไม่ผลึกผันเช่นนี้หรอก?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์เหยียดยิ้ม
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงเจ้าจะพูดอันใดไปก็ไม่มีประโยชน์ รอผลการตรวจสอบของทางองค์หญิงสามเสียก่อนเถิด แล้วเจ้าค่อยมาถกเถียงกับข้าอีกครั้งก็ยังไม่สาย!”
“ถ้าเป็นอย่างที่ฉู่หลิวเยว่พูด… เจ้ากับข้าได้เห็นดีกันแน่!”
หนิงเจียวเจียวกดเสียงต่ำอย่างเอาเรื่อง พลันหมุนตัวออกไปทันที
สีหน้าของหยางเซิ่นเอ่อร์ยังคงเรียบเฉย แต่เมื่อนางนึกถึงท่าทางที่แน่วแน่ของฉู่หลิวเยว่เมื่อครู่ นางก็เริ่มใจเสียขึ้นมาอีกครั้ง
…
หลังจากคนเหล่านั้นออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ในห้อง
ซั่งกวนหว่านนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเศร้าสร้อย พร้อมความขุ่นเคืองในดวงตาของนาง
เจียงอวี่เฉิงเดินออกไปคุยเรื่องภารกิจที่ต้องทำหลังจากนี้กับฉานอี้และซุนฉี ก่อนจะเดินกลับเข้ามาและพบเข้ากับบรรยากาศอันอึมครึมนี้
เขาชะงักฝีเท้าลงพักหนึ่ง แล้วค่อยเดินเข้าไป
“หว่านเอ๋อ…”
“เจ้ารู้อยู่แล้วสินะ”
ซั่งกวนหว่านพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จนเจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วฉับ
“อันใดหรือ?”
ซั่งกวนหว่านเงยหน้าแล้วสบตาเขา
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นฉู่หลิวเยว่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าว่านางมีรูปลักษณ์เช่นนี้!?”
สุดท้ายก็วนเข้ามาเรื่องนี้จนได้
เจียงอวี่เฉิงแอบถอนหายใจ พลางเอ่ย
“ก็แค่คนหน้าคล้ายๆ กัน เหตุใดเจ้าถึงต้องใส่ใจขนาดนั้น?”
และจู่ๆ ซั่งกวนหว่านก็ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา
“อ้อ? เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”