ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 558 ความรู้สึกของผู้ติดตาม
ตอนที่ 558 ความรู้สึกของผู้ติดตาม [รีไรท์]
พระราชวังเทียนลิ่ง
ณ ตำหนักฮวาหยาง
“ผู้อาวุโสตวนมู่ ผลการตรวจสอบเป็นเช่นไรหรือ?”
ซั่งกวนหว่านถามด้วยความกังวล
ตวนมู่ฉุนส่ายศีรษะไปมา
“องค์หญิงสามทรงวางใจ สถานการณ์ภายในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์นั้นปกติดี และกระบี่หลงหยวนก็ยังตั้งตระหง่านอยู่ในแท่นของมันดังเดิม”
ซั่งกวนหว่านใจชื้นขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นก็ดี…ดีแล้วจริงๆ…”
ตวนมู่ฉุนมองนางอย่างแปลกใจ
“เห็นองค์หญิงสามสบายใจก็ดี แต่จู่ๆ เหตุใดท่านถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมากัน? หากไร้ซึ่งกระบี่หลงหยวน อาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งคงพังทลายและไม่สามารถคงอยู่ได้ถึงทุกวันนี้”
ซั่งกวนหว่านฝืนยิ้ม
“ข้ารู้ เพียงแต่ หลังจากเปิดอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เพื่องานหมื่นทรู ข้าก็รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข เพราะเอาแต่คิดว่าเหล่าบรรพบุรุษจะตำหนิข้าอยู่ตลอดเวลา ข้าถึงขอให้ท่านเข้าไปตรวจสอบสถาพภายในอีกที เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นภายในนั้นจริงๆ”
นางลูบอกของตัวเองเบาๆ พลางขมวดคิ้ว
“หาอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์นั้นได้รับความเสียหาย เพราะความผิดพลาดของข้า…เช่นนั้นข้าก็สมควรโดนตำหนิ…”
เมื่อเห็นท่าทีของนาง ตวนมู่ฉุนก็ได้แต่ถอนหายใจ
องศ์หญิงสามนั้นพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไร้ซึ่งความกล้าที่จะลงมือทำ
ในตอนแรก นางคือผู้ที่ริเริ่มเสนอแนวคิดให้เปิดใช้อาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์ แต่ตอนนี้นางกลับเป็นฝ่ายกังวลและเสียใจเสียเอง
หากองค์หญิงใหญ่ยังอยู่…คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่
น่าเสียดายที่ตอนนี้อำนาจและสิทธิ์ขาดเหล่านั้นตกอยู่ในกำมือขององค์หญิงสาม
แม้ว่าในราชวงศ์จะยังมีองค์ชายและองค์หญิงท่านอื่นอยู่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเหมาะกับตำแหน่งนี้มากไปกว่าองค์หญิงสาม
ถ้าจักรพรรดิทรงไม่สามารถตื่นขึ้นได้…ก็มีแนวโน้มว่าองค์หญิงสามจะได้ขึ้นครองบัลลังก์โดยตรง
“องค์หญิงสามทรงคิดมากเกินไปแล้ว ท่านทำเพื่อราชวงศ์เทียนลิ่ง อีกทั้งอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เองก็…”
เขาชะงักไปนิดอย่างลังเล
ความจริงแล้ว หลังจากเข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
แม้กระบี่หลงหยวนจะยังสถิตอยู่ที่นั่น ทว่าพลังปราณของโลกด้านในกลับดูผันผวนวุ่นวาย ราวกับไม่ใช่สถานที่ๆ เคยหลับไหลมาตลอดพันปี
แต่เพราะเขาไม่เคยเข้าไปข้างในนั้นมาก่อน เขาจึงไม่แน่ใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“อันใดหรือ? ผู้อาวุโสตวนมู่?” ซั่งกวนหว่านเอ่ยถาม
ตวนมู่ฉุนรีบระงับความสงสัยในใจไว้
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่าหากท่านเข้าไปดูด้วยตาตัวเอง ท่านอาจจะสบายใจขึ้นกว่าเดิม”
สีหน้าของซั่งกวนหว่านหยุดนิ่งครู่หนึ่ง พลันขยับริมฝีปาก
“ช่วงนี้ข้ากำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกตน และเตรียมทะลวงอาณาเขตเพื่อเลื่อนขั้น ฉะนั้นข้าไม่มีเวลามาเสวนาเรื่องนี้หรอก รอผ่านช่วงนี้ไป แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีแล้วกัน!”
ตวนมู่ฉุนไม่ได้ถามไถ่ต่อแต่อย่างใด ก่อนจะโค้งตัวลงถวายบังคม
“รับทราบ เมื่อท่านทะลวงได้สำเร็จ ท่านสามารถลองอัญเชิญกระบี่หลงหยวนออกมาได้ ซึ่งหากท่านทำสำเร็จ…”
เขาหยุดและกลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
พลันความขุ่นเคืองก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของซั่งกวนหว่าน พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของนาง
“ข้ารู้ดีหน่า ผู้อาวุโสตวนมู่”
จากนั้นตวนมู่ฉุนก็รีบทำความเคารพ และหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อร่างของเขาหายไปนอกห้องโถง รอยยิ้มบนปากของซั่งกวนหว่านก็หายไปอย่างรวดเร็ว
คิดว่านางไม่รู้สิ่งที่ตวนมู่ฉุนต้องการจะสื่อหรือ!
ท่านพ่อยังป่วยติดเตียงไม่ได้สติ นางที่ถือเป็นพี่คนโตในราชวงศ์ จึงต้องรับช่วงต่อจากท่านตามที่ควรจะเป็น
แต่ว่าทุกวันนี้ แม้นางจะมีอำนาจในการจัดการราชกรณียกิจของราชวงศ์เทียนลิ่งได้เต็มที่ ทว่าชื่อของนางก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มร้อย!
และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังมองว่านางเป็นเพียงองค์หญิงสามผู้อ่อนแอเท่านั้น!
การสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น ไม่ได้เป็นเพียงธรรมเนียมที่มีไว้สำหรับองค์ชายเท่านั้น แต่องค์หญิงเองก็มีสิทธิ์แย่งชิงบัลลังก์นั้นได้ด้วยเช่นกัน
เหมือนกับตอนนั้น ตอนที่ท่านพ่อวางแผนจะสละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ เมื่อซั่งกวนเยว่แต่งงาน
ซึ่งถ้านางต้องการจะไปต่อ มันก็มีเพียงสองวิธีเท่านั้น
วิธีแรกก็คือ รอให้ท่านพ่อเขียนพินัยกรรมยกบัลลังค์ให้นางก่อนท่านสิ้นพระชนม์
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ นอกจากจะปล่อยให้ท่านจากไปอย่างสงบไม่ได้แล้ว ยังต้องหาวิธีปลุกท่านให้ฟื้นขึ้นมาให้ได้อีก!
ฉะนั้นนางย่อมไม่เลือกวิธีนี้แน่นอน!
ส่วนวิธีที่สอง ก็คือ การพิสูจน์ความแข็งแกร่งของนางให้ทุกคนได้เห็น!
แต่นางไม่ใช่ซั่งกวนเยว่ และนางไม่มีชีพจรเทียนจิง ดังนั้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีวันยอมจำนนโดยสมัครใจแน่นอน!
แต่ถ้านางสามารถอัญเชิญกระบี่หลงหยวนได้ แค่นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่านางมีคุณสมบัติมากพอที่จะนั่งบัลลังก์นั่น!
แค่กระบี่หลงหยวนเล่มเดียว ก็สามารถสยบทุกข่าวลือได้แล้ว!
แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่กระบี่หลงหยวน แค่เข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์ยังยากสำหรับนางเลย!
ซั่งกวนหว่านเริ่มกระสับกระส่าย
“ฉานอี้! พาหยางเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา!”
…
หยางเซิ่นเอ๋อร์มาถึงตำหนักฮวาหยาง ก็พบกับซั่งกวนหว่านซึ่งนั่งบนพระที่นั่งยกสูง ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ในใจนางก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอ่อล้นขึ้นมา
นางเดินเข้าไปและคุกเข่าลง
ซั่งกวนหว่านเหลือบมองนาง พลางยิ้มเยาะ
“รู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาเพราะอันใด?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์รวบรวมความกล้าตอบไป
“ระ…เรื่องกระบี่หลงหยวน…”
ซั่งกวนหว่านพูดต่อช้าๆ
“ไม่เลว ข้าตรวจสอบแล้ว และพบว่ากระบี่หลงหยวนยังคงสถิตอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่ง”
อันใดกัน!
เป็นไปได้อย่างใด!
หยางเซิ่นเอ๋อร์ตกตะลึงราวคนสติหลุด
“เป็นไปไม่ได้…ต้องไม่ใช่แบบนี้…ตอนนั้นข้าเห็นกับตาเลยว่า…”
“เจ้าคิดว่าข้าโกหกหรือ?” ซั่งกวนหว่านย้อนถาม
หยางเซิ่นเอ๋อร์จึงรีบส่ายหน้าพัลวัน
“มิ…มิใช่…”
ซั่งกวนหว่านลุกขึ้น แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้านาง
“เงยหน้าขึ้น”
หยางเซิ่นเอ๋อร์เกร็งตัวและเงยหน้าขึ้น
เพี๊ยะ!
เกิดเสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังกังวานไปทั่วตำหนัก!
หยางเซิ่นเอ๋อร์ถูกตบจนล้มลงกับพื้น ใบหน้าครึ่งซีกนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำและบวมช้ำอย่างรวดเร็ว
“ช่างกล้าหลอกข้าได้นะ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดหน้า พร้อมเอ่ยเสียงสั่น
“แต่…แต่ว่าองค์หญิงสามเพคะ ตอนนั้นหนิงเจียวเจียวเองก็…”
เพี๊ยะ!
เกิดเสียงตบดังขึ้นอีกครา
“หนิงเจียวเจียวเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร รู้บ้างหรือไม่?” ซั่งกวนหว่านคิดอย่างขบขัน
หนิงเจียวเจียวเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักเสวียนเฟิ่ง ฉะนั้นนางจึงลงมือกับหนิงเจียวเจียวไม่ได้
แต่ถ้าเป็นหยางเซิ่นเอ๋อร์ผู้ต่ำต้อยล่ะก็…นางสามารถทำตามอำเภอใจได้สบายๆ
ซั่งกวนหว่านจ้องมองหยางเซิ่นเอ๋อร์ พลันเอ่ย
“ข้าจำได้ว่าเจ้ามีชีพจรตี้จิงระดับสูง ใช่หรือไม่?”
…
ในตอนเย็น เมื่อฉู่หลิวเยว่กลับมาถึงจวน ก็จำต้องประหลาดใจยามพบว่ามีแผ่นโลหะที่ถูกลงหมึกใหม่เอี่ยม แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้า
…จวนฉู่
การตวัดพู่กันเช่นนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของอวี้ฉือซง
นางผลักประตูเข้าไป ก่อนจะพบว่าจวนทั้งหลังนั้น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศที่ดูยาจกก่อนหน้านี้ ถูกกวาดล้างออกไปเสมือนหายวับไปกับตา
ห่างออกไปเพียงสองก้าว นางเห็นเชียงหว่านโจวเดินออกมาจากมุมหนึ่งของจวน โดยที่ในมือกำลังถือ…เศษผ้า?
เย่หรานหร่านเดินตามหลังเขา นางม้วนแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น แล้วลากไม้กวาดไปพลาง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
“นั่นพวกเจ้า…กำลังทำอันใดอยู่?”
เย่หรานหร่านยิ้มอย่างเขินอาย จนเห็นแก้มกลมๆ สองก้อนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมเล็กของนาง
“หลิวเยว่ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? พวกข้ากำลังทำความสะอาดจวน! เจ้าลองดูสิว่าเป็นอย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าพวกเขากำลังทำความสะอาดจวน
แต่ประเด็นก็คือ…
“เจ้าพูดเช่นไร ให้เสี่ยวโจวยอมทำอันใดแบบนี้?”
เขาเหมือนคนที่ไม่ชอบการทำความสะอาดเสียเท่าไร และหากว่าตามนิสัยของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนที่จะยอมทำอันใดแบบนี้ง่ายๆ…
เย่หรานหร่านยิ้มอย่างสดใส
“ตอนแรกข้าคิดจะทำคนเดียว! แต่เชียงหว่านโจวอาสาช่วย ข้าจึงให้เขามาช่วยกัน!”
ฉู่หลิวเยว่ตะลึง พลันหันขวับไปมองเชียงหว่านโจว
เชียงหว่านโจวค่อยๆ หันหน้าหนี พลางซ่อนผ้าขี้ริ้วไว้ข้างหลัง แล้วพูดอย่างเย็นชา
“ข้าจะทำแค่ห้องของเจ้า”