ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 559 เจ้ารู้ได้อย่างใด ตอนที่ 560 นางไม่มีทางลืมข้า
ตอนที่ 559 เจ้ารู้ได้อย่างใด / ตอนที่ 560 นางไม่มีทางลืมข้า [รีไรท์]
ตอนที่ 559 เจ้ารู้ได้อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่หลุดยิ้ม แล้วเดินเข้าไป
“เจ้าไม่ต้องทำหรอก ห้องของข้า ข้าทำเองได้”
เชียงหว่านโจวมองนางอย่างแปลกใจ
“แต่ตอนนี้ข้าเป็นผู้ติดตามของเจ้า”
“แล้วอย่างใด?”
“ฉะนั้นแล้ว มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”
เชียงหว่านโจวเอ่ยปากหนักแน่น
ถึงเขาจะไม่ได้ทำอันใดแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำไม่ได้
“เจ้าเข้าไปดูก่อน ถ้าไม่พอใจตรงไหน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปทำใหม่อีกรอบ”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา พลันนึกอันใดบางอย่างขึ้นได้
“เสี่ยวโจว อย่าบอกนะ ว่าเจ้าคิดมาตลอดว่านี่คือสิ่งที่ผู้ติดตามต้องทำ?”
เชียงหว่านโจวตอบกลับอย่างขึงขัง “ใช่แล้ว”
ไม่เช่นนั้นจะมีผู้ติดตามไว้เหตุใดกัน?
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับปวดหัว เมื่อเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขา
และไม่รู้ว่าเพราะอันใด ตอนที่เด็กคนนี้พบกับคนๆ นั้น อีกฝ่ายถึงได้สอนสิ่งเหล่านี้ให้แก่เขา
ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนว่าเชียงหว่านโจวเป็นคนรับใช้ตัวน้อยอย่างใดอย่างนั้น
แต่ทุกครั้งที่พูดถึงบุคคลนั้น สีหน้าของเชียงหว่านโจวก็จะอ่อนโยนขึ้นเสมอ
แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูด แต่ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกว่าเขาคิดถึงคนๆ นั้นมาก
ดังนั้นเขาจึงยอมเดินทางมาไกลหลายพันลี้ และผ่านความยากลำบากทั้งหมดจากชายแดนทางใต้ จนมาถึงซีหลิง
และบุคคลนั้นน่าจะปฏิบัติต่อเชียงหว่านโจวอย่างจริงใจด้วย และนั่นจะทำให้เขาลืมอีกฝ่ายไม่ลง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็หลุดยิ้มออกมา
“ถึงตอนนี้เจ้าจะเป็นผู้ติดตามของข้า แต่ข้าจะไม่เรียกร้องอันใดจากเจ้า แต่ในอนาคต ถ้าเจ้าอยากทำต่อก็ทำไป แต่ถ้าไม่อยากก็แล้วแต่เจ้าได้เลย เข้าใจหรือไม่?”
ไม่อย่างนั้น ภาพลักษณ์ที่ว่านางรักแกเด็ก คงได้ติดตัวไปตลอดชีวิตแน่
เชียงหว่านโจวครุ่นคิด
“เจ้าไม่ชอบที่ข้าทำหรือ? หรือว่าข้ายังทำได้ไม่ดีพอ?”
ฉู่หลิวเยว่เผยยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ พลางลูบศีรษะของเขา
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อในเวลาสั้นๆ ได้
“ไม่เลย เจ้าทำได้ดีแล้ว”
เชียงหว่านโจวทำหน้าสงสัย
“แต่เจ้ายังไม่ได้เข้าไปดูเลยนะ”
เย่หรานหร่านเอ่ยต่อด้วยความกระตือรือร้น
“ใช่แล้ว! หลิวเยว่ เจ้าลองเข้าไปดูก่อนสิ หว่านโจวปัดกวาดได้สะอาดมาก! เขาทำได้ดีพอๆ กับข้าเลย!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
การทำความสะอาดมันเป็นเรื่องน่าอวดขนาดนั้นเลยหรือ? ไหนจะสองอัจฉริยะผู้ครอบครองชีพจรตี้จิงที่กำลังแข่งกันนี่อีก?
สุดท้ายนางก็จำต้องยกมือยอมแพ้
“ข้าจะเข้าไปดู”
“เร็วๆ นะ รีบๆ เข้าไปเลย!”
เย่หรานหร่านวิ่งไปข้างหน้าอย่างมีความสุข
ส่วนเชียงหว่านโจวก็เดินตามหลังฉู่หลิวเยว่ไปเฉกเช่นวิสัยที่เจ้าตัวทำบ่อยๆ
เมื่อเดินไปได้สักพัก ก็ถึงห้องของนาง
แต่ถึงจะพูดว่ามันเป็นห้องของนาง แต่นางก็ไม่เคยเข้าไปสำรวจด้านในเลย
ภายใต้การจ้องมองของทั้งสองคนที่อยู่ข้างกาย ฉู่หลิวเยว่ก็จัดการเปิดประตูและเดินเข้าไป
กระทั่งได้เห็นสภาพภายในห้อง ฉู่หลิวเยว่ก็จำต้องตกตะลึง
นี่มัน…สะอาดเอี่ยมอ่องเลยมิใช่หรือ!?
ทุกตารางนิ้วล้วนถูกทำความสะอาดเสมือนห้องที่เพิ่งสร้างใหม่ และแม้แต่พื้นก็ยังสะท้อนเงาวาววับได้อย่างชัดเจน!
นางไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อชำเลืองมองดูให้ทั่ว ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเย่หรานหร่านถึงได้ตื่นเต้นมากมายเพียงนั้น
ผิดกับเชียงหว่านโจว…ที่ดูเหมือนเด็กชายที่ไม่ได้ชื่นชอบอันใดแบบนี้…
ฉู่หลิวเยว่หันมองเชียงหว่านโจวอย่างอดไม่ได้ และถามด้วยความสงสัย
“เสี่ยวโจว บอกข้ามาตามจริง ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เจ้าถูกใช้ให้ทำความสะอาดเช่นนี้ใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้ดู…คล่องแคล่วแบบนี้?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถคิดหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายได้ชั่วขณะหนึ่ง
สีหน้าของเชียงหว่านโจวมืดมนลงทันตา
ฉู่หลิวเยว่จึงแสร้งกระแอมไอ แล้วสาวเท้าเข้าไปข้างใน
บริเวณริมหน้าต่างมีโต๊ะกาแฟไม้เล็กๆ เก้าอี้ไว้นั่งเอนกาย
ฉู่หลิวเยว่เขยิบเข้าไปใกล้มากขึ้น
ก่อนจะเห็นกระดานหมากรุกและหม้อใส่ตัวหมากสองหม้อวางอยู่บนโต๊ะ
มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปเจอของพวกนี้จากที่ไหน แต่พวกมันถูกจัดวางอย่างดี
ทว่าทันใดนั้น ดวงตาของนางก็หรี่ลง พลันหยิบถ้วยชาขิงถ้วยหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ กระดานหมากรุกขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“เสี่ยวโจว เจ้ารู้ได้อย่างใดว่าข้าชอบวางชาขิงไว้ข้างกระดานหมากรุก ยามเปิดกระดาน?”
ตอนที่ 560 นางไม่มีทางลืมข้า
เชียงหว่านโจวชะงัก
“ข้าก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด”
มาโดยตลอดหรือ?
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจในทันที
“เมื่อก่อนเวลาที่เจ้าอยู่กับคนๆ นั้น เจ้าก็ทำเช่นนี้สินะ? แล้วนางผู้นั้นเองก็…ชอบทำอันใดแบบนี้?”
เชียงหว่านโจวส่งเสียง “อือ” ตอบกลับเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่พลันขมวดคิ้ว
คนที่ชอบเล่นหมากรุกไปพร้อมๆ กับดื่มชานั้นมีอยู่มากมาย
แต่ทว่า น้อยคนนักที่จะชอบวางชาขิงไว้ข้างขอบกระดานหมากรุกเช่นนี้
อย่างน้อยในหมู่คนที่ฉู่หลิวเยว่รู้จัก นอกจากตัวนางเองแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน
“จะพูดอย่างใดดี ดูบังเอิญจังเลยนะ”
คนผู้นั้นมีนามว่า “เยว่” และนางเองก็ชื่อ “เยว่”
คนผู้นั้นชอบวางชาขิงไว้ข้างกระดานหมากรุก และนางเองก็ชอบทำเช่นกัน
ราวกับนางมีชะตากรรมร่วมกับเชียงหว่านโจวอย่างนั้นแหละ
ฉู่หลิวเยว่ถูถ้วยน้ำชาในมือของตน
น้ำชาในถ้วยยังร้อนอยู่ มีควันสีขาวลอยม้วนตัวขึ้น พร้อมความขมจางๆ ที่สัมผัสได้จากความฉุนของขิง ซึ่งให้ความสดชื่นเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น นางก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับบุคคลนั้น
หากคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่…นางก็อยากจะลองเจออีกฝ่ายซึ่งๆ หน้าสักครั้ง
เชียงหว่านโจวใจลอย อย่างกับกำลังคิดอันใดอยู่
กระทั่งฉู่หลิวเยว่เรียกเขาสองครั้ง เขาถึงได้สติคืนมา
“อันใด?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ
“ข้าบอกว่า วันนี้เราจะพักผ่อนกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางไปที่ชงซูเก๋อ”
อวี้ฉือซงกลับไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ฝากให้เย่หรานหร่านอยู่ดูแลพวกเขา
ดังนั้นคืนนี้เย่หรานหร่านเองก็จะพักอยู่ที่นี่เช่นกัน
แม้ว่าจวนหลังนี้จะเล็กกว่าจวนมู่ แต่หากพักอยู่เพียงไม่กี่คน ก็สามารถอยู่กันได้อย่างสบายๆ
เย่หรานหร่านขอตัวไปพักผ่อนอย่างไว
แต่เชียงหว่านโจวยังมีบางสิ่งที่เขาต้องการจะพูด และยังยืนอยู่ที่เดิม
ฉู่หลิวเยว่จึงเดินเข้าไป พลางถามด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดจะถาม ก็ถามมาได้เลย”
เชียงหว่านโจวยืนหันหลังให้กับประตู แสงระเรื่อสาดส่องลงบนเส้นผมสีบลอนด์อ่อนๆ ของเขา จนหัวกลมๆ นั่นดูเป็นประกายเจิดจ้า แม้แต่หูของเขาเองก็ดูเหมือนจะโปร่งใส รวมทั้งแก้มเนียน ที่ดูละเอียดอ่อนยามถูกไล้ด้วยแสงไฟจากภายนอก
อย่างใดก็ตาม ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ในเงามืด และเพราะความกึ่งสว่างและกึ่งมืดนี้ จึงทำให้คนที่มองอยู่เห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร
มีเพียงดวงตาที่ฉายแสงลึกลับและคลุมเครือคู่นั้น ที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืด
หลังจากเงียบไปนาน เขาก็ถามเบาๆ
“เมื่อก่อนเจ้าเคยไปแถวชายแดนทางใต้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัว
“ไม่เคย”
แสงนัยน์ตาของเชียงหว่านโจวดับลง เสมือนเทียนที่มอดดับ
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ดิ่งจมลงอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่านางถูกกดดันอย่างหนักจากบางสิ่งบางอย่าง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
พูดจบเชียงหว่านโจวก็หมุนตัวเตรียมเดินออกไป
ทว่าในขณะที่ก้าวขาออกไปข้างหนึ่ง จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง
“เจ้าว่า นางจะลืมข้าไปแล้วหรือเปล่า?”
เสียงของเขาเบาหวิวอย่างกับสายลม
ไม่มีน้ำเสียงที่เย็นชาและแข็งกร้าวเหมือนปกติ และไร้ซึ่งน้ำเสียงที่ดื้อรั้นเฉกเช่นในอดีต
ณ ตอนนี้เชียงหว่านโจวดูสิ้นหวังราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย
ร่างที่ผอมแห้งเกินมาตรฐานของเด็กชาย ถูกซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าที่หลวมโพรกและพลิ้วไหวไปมา เนื่องจากขนาดที่ใหญ่เกินตัว
กระแสแห่งความเหงาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ เล็ดลอดออกมาจากตัวเขา และห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงแผ่ว
“เจ้าเป็นเด็กดีและเชื่อฟังเพียงนี้ มีหรือที่นางจะลืมเจ้าได้ หากนางรู้ว่าเจ้ากำลังตามหานางล่ะก็ นางคงจะรีบตามหาเจ้าแน่ๆ”
เชียงหว่านโจวเงียบไปครู่หนึ่ง
“เจ้าพูดถูก นางไม่มีทางลืมข้าแน่นอน ถ้าไม่มีข้าแล้วใครจะเตรียมชากับกระดานหมากรุกให้นางเล่า?”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้นมาก ราวกับพยายามเกลี้ยกล่อมใครซักคน
“นางไม่ลืมข้าหรอก”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
ฝีเท้าคู่นั้นฟังดูเร่งรีบ ราวกังวลว่าจะถูกบางสิ่งตามทัน
ฉู่หลิวเยว่เตรียมอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็จำต้องกลืนถ้อยคำเหล่านั้นกลับไป
อย่างใดเสียมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเชียงหว่านโจว
รอให้นางพร้อมมากกว่านี้ บางทีนางอาจจะช่วยเขาตามหาคนๆ นั้นได้
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปในห้องและเริ่มปรุงยา
…
ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองที่ทำให้นางทะลวงผ่านนักรบระดับสี่ ตอนนี้นางจึงได้กลายเป็นเซียนหมอระดับสี่อย่างเป็นทางการแล้ว
และผลที่ได้ก็คือ นางสามารถปรุงยาได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก
หลังจากกลั่นยาออกมาทั้งสามเม็ด นางก็หยุดมือและเริ่มพักฟื้น
หลังจากที่พลังปราณถูกใช้งานอย่างหนักมาเกือบสามอาทิตย์ ในที่สุดการไหลเวียนนั่นก็หยุดลง และถึงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อนเสียที
แด่ค่ำคืนอันสงบสุขของเรา
…
เช้าวันต่อมา พวกของฉู่หลิวเยว่ทั้งสามคนก็พากันเดินทางไปยังสำนักชงซูเก๋อ
สำนักชงซูเก๋อนั้นตั้งอยู่บนเขาชิงหยวน
เมืองซีหลิงแห่งนี้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งยังห้อมล้อมไปด้วยยอดเขาสูงทั้งบริเวณภายในและภายนอกเมือง
ซึ่งแต่ละสำนักวิชาใหญ่ๆ ก็จะมีฐานที่ตั้งอยู่บนยอดเขาที่แตกต่างกันและห่างไกลกันออกไป ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ถือได้ว่าพวกเขาทั้งหมด อาศัยอยู่ในอาณาเขตของตัวเองอย่างสงบสุข
ภูเขาชิงหยวนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซีหลิง และจุดที่พิเศษก็คือ มันเป็นยอดเขาเพียงลูกเดียวที่อยู่ทิศนั้น
และเนื่องจากพลังดั้งเดิมบนภูเขานั้นแข็งแกร่งมาก มันจึงเหมาะเป็นสถานที่ๆ ดีสำหรับการฝึกตน
ทว่าทันทีที่พวกของฉู่หลิวเยว่มาถึงที่เชิงเขาชิงหยวน ก็พลันตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตั้งแต่ในอดีต บนภูเขาชิงหยวนจะมีค่ายกลป้องกันอันทรงพลังปกคลุมอยู่ แต่ถึงตอนนี้มันจะยังคงอยู่ ทว่าพลังที่อยู่สถิตอยู่ในนั้นกลับอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่หลิวเยว่โพล่งถามออกไปทันที
“ค่ายกลนี่…ดูแปลกๆ นะ”
“หา? อ๋อ เจ้าเองก็คิดเช่นนั้นสินะ! อันที่จริง เมื่อก่อนค่ายกลนี่ไม่ได้อ่อนกำลังเช่นนี้ แต่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว มีคนทะลวงค่ายกลและบุกเข้าไปในชงซูเก๋อ แล้วทำลายค่ายกลนี้ ต่อมาท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็พยายามฟื้นฟูมันอย่างหนัก แต่ว่าค่ายกลนี้ต้องการกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อรักษาสภาพของมันไว้ ทว่ายามนี้ชงซูเก๋อของเรากำลังเผชิญกับความลำบากเหลือคณา ฉะนั้น…จึงทำได้เพียงพยายามรักษามันไว้เท่านั้น”
เมื่อพูดจบและเห็นสีหน้าซับซ้อนของฉู่หลิวเยว่ เย่หรานหร่านก็รีบชี้แจ้งพัลวัน
“แต่เจ้าวางใจได้ ถึงค่ายกลนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในอดีต แต่เราก็ยังมีท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่คอยปกป้องภูเขาชิงหยวนแห่งนี้อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ย่างกรายเข้ามาใกล้เราได้”
ในใจฉู่หลิวเยว่แอบยิ้มอย่างขมขื่น
เย่หรานหร่านสามารถพูดคำเหล่านี้ได้อย่างใจเย็น
แต่ความจริงแล้ว ถ้าคิดให้ดีๆ ก็จะรู้ว่า สำหรับสำนักวิชาใหญ่ๆ เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะโดนบีบให้จนมุม มีหรือที่พวกเขาจะฟื้นฟูแม้แต่ค่ายกลพื้นๆ เช่นนี้ไม่ได้?
จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ในชงซูเก๋อนั้นเลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก
“ไม่เป็นไร ข้าเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก เลยเกิดความสงสัยนิดหน่อยเท่านั้น พวกเราเดินต่อเถอะ! เหล่าเจ้าสำนักเก๋อคงรอเราอยู่แน่ๆ”
เย่หรานหร่านมิได้ตะขิดตะขวงใจ และเดินนำหน้าต่อไป
เส้นทางบนเนินเขานั้นมีเพียงถนนที่ปูด้วยหิน ซึ่งทอดยาวจากตีนเขาไปถึงยอดภูเขา
ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวเดินตามหลังเย่หรานหร่านขึ้นไปตามทางเดินนั่น
ทว่าเดินไปได้ไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็จำต้องชะงักฝีเท้า
ใต้เท้าของนางมีคราบเลือดสีแดงเข้มที่แห้งกรังติดอยู่บนพื้น
และเมื่อพิจารณาแล้ว เหตุการณ์นองเลือดนี้น่าจะผ่านไปสักพักแล้ว
ร่างบางเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อมองตามรอยเลือด พลันรูม่านตาของนางก็หดตัวลง
ความจริงแล้วมีกองเลือดขนาดใหญ่กระจายอยู่รอบๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ค่อยๆ จางลง
ประกอบกับฝุ่นผง หิน และสิ่งอื่นๆ ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ จึงทำให้ยากต่อการสังเกต
แต่ด้วยคราบเลือดมากมายเช่นนี้ นางจึงสามารถจินตนาการถึงฉากการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ในทันที
นี่แค่ตีนเขาเองนะ…
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างแรง
ไม่รู้ว่าพอขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว จะได้เห็นภาพแบบใด
สามารถสร้างความเสียหายให้กับสำนักวิชาอันเลื่องชื่ออย่างชงซูเก๋อ และทำให้ทั้งสำนักดิ่งลงมาจากจุดสูงสุดได้เช่นนี้…ช่างน่ากลัวจริงๆ!
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดึงสายตากลับไป แล้วเดินต่อ