ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 564 ข้ามีวิธี ตอนที่ 565 คนผู้นั้นสำคัญต่อข้า
ตอนที่ 564 ข้ามีวิธี / ตอนที่ 565 คนผู้นั้นสำคัญต่อข้า [รีไรท์]
ตอนที่ 564 ข้ามีวิธี
ฉู่หลิวเยว่งุนงงกว่าเดิม
“ทรายรวมศูนย์คืออันใด?”
เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?
เชียงหว่านโจวหยิบคว้าโสมในมือนางไปถือไว้เอง
“ระวังพิษ…”
แต่ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะเตือนเขาให้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย นางก็สังเกตเห็นเข็มเงินที่อยู่ในมือของเชียงหว่านโจว
หลังจากนั้นเขาก็ทิ่มเข็มเงินเข้าไปในรากของโสมม่านหลิงและหยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือ
พลันทรายสีแดงก็ค่อยๆ ไหลออกมาราวกับน้ำหล่อเลี้ยง
แต่ก่อนที่มันจะหยดลงพื้น มันก็ระเหยไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นควันสีแดงจางๆ และสลายไปในอากาศ
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงทันควัน!
กลิ่นขมฝาดที่ลอยอยู่ในอากาศมาจากเจ้านี่ๆ เอง!
“ทรายรวมศูนย์เป็นสสารที่เป็นพิษอย่างยิ่ง แม้มันจะดูเหมือนทราย แต่ก็สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่เหมือนน้ำ และสาเหตุที่สมุนไพรเหล่านี้เหี่ยวและถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ก็เป็นเพราะการดูดซึมของทรายนี้”
จากนั้นเชียงหว่านโจวก็หยิบเถาวัลย์เมฆหิมะขึ้นมา และค่อยๆ ฉีกรากของมัน พลันฉากเดียวกันนี้ก็ถูกฉายให้เห็นอีกครั้ง
เมื่อไร้ซึ่งทรายรวมศูนย์ สมุนไพรทั้งสองก็หดตัวอย่างรวดเร็วและม้วนตัวเป็นลูกกลมๆ
แค่เชียงหว่านโจวใช้ปลายนิ้วบี้เบาๆ พวกมันก็สลายกลายเป็นผุยผง
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
“เจ้าจะบอกว่า…ที่สวนสมุนไพรตกอยู่ในสภาพแบบนี้…ก็เพราะทรายรวมศูนย์นี่หรือ…”
เชียงหว่านโจวพยักหน้ารับ
“ความไวในการกลืนกินของทรายรวมศูนย์นั้นรุนแรงมาก เพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถทำลายสิ่งที่อยู่รัศมีหลายสิบลี้ได้อย่างง่ายดาย”
แน่นอนว่าสวนสมุนไพรแห่งนี้ได้ตายไปแล้ว
“แต่พิษของทรายรวมศูนย์นี้ไม่ได้มีผลรุนแรงต่อผู้คน ตราบใดที่ไม่ได้สัมผัสมันโดยตรง โดยทั่วไปแล้ว มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อคนผู้นั้นสักเท่าไร”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยสายตาสับสน
“เหตุใดเจ้าถึงดูคุ้นเคยกับมันนัก?”
“แถวชายแดนทางใต้มีเจ้าสิ่งนี้อยู่เยอะ”
เชียงหว่านโจวปัดฝุ่นในมือเบาๆ ราวขี้เกียจพูด
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบกลับเชิงรับรู้
ไม่แปลกใจ…
ย้อนกลับไปในชาติก่อน สมัยที่นางยังเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ นางเคยเสด็จไปตรวจพระราชกิจทั่วทั้งแผ่นดิน ทว่าในบรรดาสี่ดินแดนหลัก นางไม่เคยไปเยือนชายแดนใต้ด้วยตัวเองสักครั้ง
เพราะสภาพแวดล้อมที่นั่นทั้งรุนแรงและอันตราย
แต่พอมาวันนี้ เมื่อนึกถึงเชียงหว่านโจวที่เติบโตและออกมาจากนี่นั่นได้ด้วยกำลังของตัวเองแล้ว นางก็แอบรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…
“ถ้าทรายรวมศูนย์เหล่านี้ไม่ถูกขุดออกมาโดยเร็วที่สุด ไม่เกินสามปี ภูเขาทั้งลูกก็จะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์”
เชียงหว่านโจวเอ่ยเสียงเรียบ
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับชะงัก
นี่เชียงหว่านโจวไม่ตื่นตระหนกบ้างหรือไร!
“เช่นนั้นเจ้ามีวิธีแก้ไขหรือไม่?”
ถ้านางไม่รู้เรื่องนี้เข้ามันอาจจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้ว จึงไม่อาจมองดูภูเขาชิงหยวนถูกทำลายได้อย่างแน่นอน
เชียงหว่านโจวพยักหน้า ท่ามกลางสายตาคาดหวังของฉู่หลิวเยว่
“วีธีแก้ไขน่ะมี แต่มันค่อนข้างยุ่งยาก เพราะเหมือนว่าทรายรวมศูนย์จะฝังตัวอยู่ใต้ที่ดินตรงนี้มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่มันจะแทรกซึมและเจาะเข้าไปในสถานที่ต่างๆ บนภูเขานี้แล้ว ฉะนั้นเราจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการกำจัดมันให้หมด…”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขอแค่มีวิธีแก้ไขก็พอแล้ว!
“แล้วเราต้องทำอย่างใด?”
เชียงหว่านโจวนิ่งไปพักหนึ่ง
“ขั้นตอนแรกเราต้องเริ่มที่สวนสมุนไพรแห่งนี้ เราจะต้องถอนสมุนไพรออกจากดินให้หมด แล้วนำมาทำความสะอาด โดยใช้วิธีเดียวกับที่ข้าทำไปเมื่อครู่”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เบิกโพล่ง
นั่นมัน…
สวนสมุนไพรแห่งนี้มีต้นสมุนไพรเหี่ยวๆ อยู่เป็นหมื่นต้นเลยนะ!
ถ้าต้องคอยขุดออกมาทำความสะอาดทีละต้นจริงๆ ชาตินี้จะเสร็จหรือไม่ก็ไม่รู้!
“นอกจากนี้ พวกดอกไม้และต้นไม้อื่นๆ บนภูเขาเอง ก็อาจจะได้รับพิษเข้าไปด้วย ซึ่งพวกต้นไม้เหล่านั้นนั่นแหละ ยิ่งทำให้เรายากแก่การทำความสะอาดเข้าไปใหญ่”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเป็นปม
ถ้าทิ้งภูเขาลูกนี้ไป มันอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า!
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ?” ฉู่หลิวเยว่กุมขมับอย่างปวดหัว
เชียงหว่านโจวเริ่มเม้มปากลังเล
“มีสิ”
ตอนที่ 565 คนผู้นั้นสำคัญต่อข้า
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเชียงหว่านโจวตาไม่กะพริบ
เชียงหว่านโจวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ทรายรวมศูนย์นั้นไวต่อเลือดมนุษย์มาก หากเจ้าใช้เลือดสดล่อมัน เจ้าจะรวบรวมมันได้อย่างรวดเร็ว แต่เจ้าต้องรอจนกว่าทรายทั้งหมดจะมารวมตัวเป็นก้อนผลึก ถึงจะเชื่อได้ว่าภายในระยะหนึ่งร้อยลี้นี้ ไม่มีทรายรวมศูนย์หลงเหลืออยู่แล้ว ถึงค่อยวางใจได้เต็มร้อยว่ามันถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ผงะเล็กน้อย
“เลือดสดๆ หรือ? ภะ… ภูเขาชิงหยวนใหญ่โตเพียงนี้ ต้องใช้เลือดมากมายขนาดไหนกัน?”
“ก็ไม่มากหรอก แค่ต้องเป็น…เลือดสดๆ”
เชียงหว่านโจวเน้นอีกครั้ง
“พูดตรงๆ ก็คือเลือดของคนเป็น”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที พลันหดตัวลง
“เจ้าหมายความว่า…จะใช้คนเป็นๆ เป็นเหยื่อล่อพวกมันหรือ?”
เชียงหว่านโจวพยักหน้า
“มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่สามารถดึงทรายรวมศูนย์ทั้งหมดออกจากดินได้ และมีแค่วิธีนี้ ที่เราสามารถกะเวลาโต้ตอบได้แม่นยำที่สุด จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องรีบกำจัดมันออกให้หมด”
ฉู่หลิวเยว่ถามต่อ
“แล้วถ้ามันดีจริง เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดถึงวิธีนี้ตั้งแต่แรก?”
เชียงหว่านโจวเงียบและไม่พูดอันใด
“เพราะคนๆ เดียวไม่สามารถทนพลังของทรายรวมศูนย์ได้ ใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถามเบาๆ “หรือที่เจ้าบอกว่ามันไม่เป็นพิษต่อมนุษย์นั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ?”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า”
เชียงหว่านโจวขัดจังหวะฉู่หลิวเยว่ราวรำคาญใจ
“พิษของทรายรวมศูนย์นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับมนุษย์ แต่ประเด็นหลักก็คือ…คือ…เมื่อทรายรวมศูนย์รวมตัวกันในร่างกายของมนุษย์ มันจะกลืนกินพลังดั้งเดิมในร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากพลังดั้งเดิมนั้นแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการควบแน่นของมัน ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าหมดพลังไปเสียก่อน…มันก็จะเริ่มกัดกินร่างกายมนุษย์ เช่นเดียวกับสมุนไพรเหี่ยวๆ เหล่านั้นที่เจ้าเห็นเมื่อครู่”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เช่นนั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
เชียงหว่านโจวก้าวเท้าไปข้างหน้า พลางจ้องมองนางราวพินิจพิเคราะห์
“เจ้าคิดจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อสินะ?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ เดิมทีนางอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อสายตาที่แน่วแน่ของเขา ก็จำต้องพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“ไม่ได้!”
เชียงหว่านโจวคัดค้านทันควัน
“เหตุใดจะไม่ได้?” ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้! ชงซูเก๋อมีสาวกตั้งเยอะแยะ เหตุใดเจ้าต้องทำด้วย?”
ใบหน้าที่คมสวยของเชียงหว่านโจวเต็มไปด้วยความโกรธ
เขารู้อยู่แล้วว่า ถ้าฉู่หลิวเยว่รู้วิธีนี้ นางต้องเสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ
“เสี่ยวโจว วันนี้ตอนที่ขึ้นมาบนภูเขา เจ้าก็เห็นแล้วหนิว่าคนพวกนั้นเป็นอย่างใด เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทำได้เหมือนข้าหรือ?”
อย่าว่าแต่คนที่อ่อนแอกว่านางเลย แม้แต่คนแข็งแกร่งกว่านาง…ก็กลัวว่าจะทนไม่ไหวเหมือนกัน
แต่สาเหตุที่นางทำได้ นั่นเพราะในกายนี้มีหยดน้ำพิเศษซ่อนอยู่
ถึงนางจะไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เชียงหว่านโจวรู้ แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา หลังจากที่ได้ติดตามและใช้ชีวิตด้วยกันมาพักหนึ่ง เขาน่าจะเดาได้ว่านางมีไพ่เด็ดที่แข็งแกร่งมากอยู่กับตัว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เคยเห็นกับตาไปแล้วว่า นางคือคนที่ดึงกระบี่หลงหยวนออกมาจากแท่นในวันนั้น
มีหรือที่นักรบระดับสี่ธรรมดาๆ จะสามารถทำเช่นนี้ได้?
“ไหนจะเจ้าสำนักเก๋อ และก็ผู้อาวุโสซย่าอี้นั่นอีก”
เชียงหว่านโจวกล่าวอย่างไม่พอใจ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะและขยี้ผมของเขาแรงๆ
“เจ้าสำนักเก๋อได้รับบาดเจ็บ เจ้าอย่าอ้างว่าไม่เห็นเชียวนะ และสำหรับผู้อาวุโสซย่าอี้…แม้ว่าเขาจะสบายดี แต่ตอนนี้เขาถือเป็นมือขวาหลักของชงซูเก๋อ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไปจัดการ…”
ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่อันตราย แต่ถ้ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น…ชงซูเก๋อก็จะตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง
เชียงหว่านโจวปัดมือนางอย่างหงุดหงิด
“อย่างใดเจ้าก็จะทำให้ได้เลยสิ!? เจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าไม่ได้เป็นอมตะนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่เชียงหว่านโจวโกรธนางขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่เขาปัดมือนางด้วย
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนตอนที่เรายังไม่ได้สนิทกัน นางก็แหย่เขาแบบนี้ และเขาก็ไม่เคยโมโหร้ายใส่เลย
ทันใดนั้นเชียงหว่านโจวก็ได้สติ เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของฉู่หลิวเยว่ พลันร่องรอยของความรำคาญ ก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา
เขาขมุบขมิบริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด
“…เสี่ยวโจว เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?” ฉู่หลิวเยว่ถามเสียงแผ่ว “หรือว่าเจ้า…กำลังเป็นห่วงข้า?”
เชียงหว่านโจว หมุนตัวไปอีกทางด้วยความขลาดอาย
พลันทั้งสองร่างก็ล้วนนิ่งสนิท
ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปดึงศอกของเขา
เชียงหว่านโจวที่ตอนแรกคิดจะสะบัดออก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงดึงตรงข้อศอก เขาก็เหลือบมองใบหน้าของนาง และหยุดการกระทำที่ก้าวร้าวของตน
ฉู่หลิวเยว่กระชับมือที่จับศอกของเขาไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าและพูดอย่างจริงจัง
“เสี่ยวโจว ข้าไม่มีวันทำในสิ่งที่ข้าไม่แน่ใจ”
เชียงหว่านโจวชะงักไปครู่หนึ่ง พลันโพล่งถามอย่างอดไม่ได้
“แต่เพราะอันใด เจ้าถึงต้องช่วยพวกเขาขนาดนั้น?”
วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่สำนักชงซูเก๋อ และแม้แต่เจ้าสำนักเก๋อเองก็เคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง
ท่ามกลางสำนักวิชาชื่อดังมากมาย ฉู่หลิวเยว่กลับเลือกชงซูเก๋อโดยไม่ลังเล แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจ แต่เขาก็เซ้าซี้ถามเอาคำตอบจากนาง
และตอนนี้นางก็ยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยชงซูเก๋ออีก
เขาล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่ทอดสายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขามีใบหน้าที่สะอาดและงดงาม มีความดื้อรั้นในวัยเยาว์ และความโง่เขลาต่อโลกภายนอก
เขาถามว่า เหตุใดนางถึงยอมช่วยคนเหล่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ
“เสี่ยวโจว เหตุใดเจ้าถึงเดินทางมาหลายพันลี้จนถึงซีหลิง เพียงเพื่อตามหาคนๆ นั้น?”
เชียงหว่านโจวชะงักแล้วรีบตอบไปทันที
“เพราะว่านางสำคัญกับข้ามาก”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“คำตอบของข้า ก็เหมือนกับของเจ้า”
อันที่จริงเมื่อชาติที่แล้ว แม้ว่านางจะเรียนการกลั่นโอสถกับอวี้ฉือซงมาเป็นเวลานาน แต่นางก็ไม่เคยเข้าร่วมกับเขาอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง
เดิมทีนางแค่ต้องการไปฝึกตน แต่เจ้าสำนักเก๋อกล่าวว่าสถานะของนางนั้นมีค่ามากเกินไป และเพราะค่อนข้างไว้เนื้อเชื้อใจ เขาจึงต้องการให้นางมีส่วนร่วมกับทางสำนัก ทว่าหากนางตอบรับเขาและกลายเป็นอาจารย์ประจำสำนักจริงๆ เช่นนั้นชงซูเก๋อทั้งหมดก็จะตกเป็นของนางผู้เดียว
จากนั้นภายในราชวงศ์เทียนลิ่งจึงมีกฎที่ว่ากันปากต่อปากว่า ห้ามมิให้องค์ชายและองศ์หญิงเข้าร่วมกับสำนักใดในเมืองซีหลิง
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย และเพื่อความสมดุล
แต่อันที่จริงตอนนั้น ในฐานะผู้สืบทอดราชสมบัติ นางแทบจะมีอำนาจเหนือชั้นศาลและคัดค้านข้อห้ามนั้นได้ ซึ่งถ้านางคิดจะทำล่ะก็ ย่อมไม่มีปัญหา
ทว่าอวี้ฉือซงก็ยังดื้อรั้น
ในใจของนางรู้สึกขอบคุณอวี้ฉือซงอย่างมาก
ฉะนั้นตอนนี้ หากนางสามารถทำอันใดเพื่อตอบแทนอวี้ฉือซงกับชงซูเก๋อได้ นางก็จะทำ
คำตอบนี้ทำให้เชียงหว่านโจวไม่สามารถแย้งได้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดเจ้าสำนักเก๋อและคนอื่นๆ ถึงมีความสำคัญต่อนางมาก แต่ในเมื่อนางพูดเช่นนั้น…
“เจ้าแน่ใจว่าทำได้แน่นะ?” เขายังรั้นถามต่อ
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเป็นคำตอบ
เหมือนว่าเชียงหว่านโจวกำลังหวาดกลัว
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามอันใดแบบนี้แล้ว
ในที่สุดเชียงหว่านโจวก็ยอมพยักหน้า
“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ศิษย์น้องหญิง! ศิษย์น้องชาย! พวกเจ้าตรวจดูเสร็จแล้วหรือยัง? รีบออกมาเถิด! ถ้ามีคนมาเห็นเข้าล่ะก็ซวยแน่!”
ลู่เจือเหยาตะโกนเสียงต่ำจากนอกประตู
ฉู่หลิวเยว่กับเชียงหว่านโจวมองหน้ากันแวบหนึ่ง พลางหันหลังกลับและเดินออกไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนออกมา หัวใจที่ตื่นตระหนกของลู่เจือเหยาก็ค่อยๆ สงบลง
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็พูดว่า
“ข้าต้องไปพบเจ้าสำนักเก๋อ”