ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 598 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 598 ขอความช่วยเหลือ [รีไรท์]
“อย่างน้อยเก้าสาย”
หนังตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างแรง นางกำลังสงสัยว่านางไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่?
นางถามอย่างจริงจังว่า
“ท่านพูดจริงหรือ?”
องค์ปฐมกษัตริย์เงียบไปอีกครั้ง
“…การสร้างอาวุธโบราณล้วนเรียกใช้ทัณฑ์สวรรค์กันทั้งนั้น…แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ทัณฑ์สวรรค์เก้าสายจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน!”
ในใจของฉู่หลิวเยว่สงบนิ่งเป็นอย่างมาก
แต่องค์ปฐมกษัตริย์ก็พูดต่อว่า
“ความจริง สำหรับเจ้าแล้ว ก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ถ้าเจ้าสามารถรับทัณฑ์สวรรค์นี้ได้อย่างราบรื่น จะต้องทำให้พื้นฐานของเจ้ามั่นคงอย่างแน่นอน พละกำลังความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็จะเพิ่มมากขึ้น”
พลังกายระดับทัณฑ์สวรรค์นั้น เป็นเรื่องพบเจอได้ยากอยู่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า
“ได้!”
ในเมื่อปฐมกษัตริย์พูดมาแล้ว แสดงว่ามั่นใจว่านางทำได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน!
เห็นได้ชัดว่าองค์ปฐมกษัตริย์นั้นดีใจอย่างมาก
ในตอนนั้นเขาก็เรียกทัณฑ์สวรรค์ออกมาเพื่อหลอมกระบี่หลงหยวน หากฉู่หลิวเยว่สามารถทำสำเร็จได้ในตอนนี้ นั่นก็หมายความว่านางจะเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดของเขา
“ภายในกระบี่หลงหยวน จะมีหินดวงดาวก้อนหนึ่งที่ข้าเคยใช้มาก่อน เจ้าสามารถนำมันออกมาใช้ได้ ทางที่ดีเจ้าควรจะหายอดเขาที่เงียบสงบ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทัณฑ์สวรรค์ที่เรียกมาส่งผลกระทบต่อผู้อื่น”
องค์ปฐมกษัตริย์กล่าวเตือนอย่างจริงจัง
ฉู่หลิวเยว่คิดไปคิดมา ก็พบว่าความจริงโดยรอบของภูเขาชิงหยวนก็มียอดเขาอยู่หลายลูก แต่ปกติก็ไม่มีใครไปที่นั่น
หลังจากที่สำนักชงซูเก๋อเจออันตรายในครั้งนั้น ยอดเขาเหล่านั้นก็ได้รับความเสียหายในระดับที่ต่างกัน ตอนนี้จึงรกร้างอย่างมาก
ถ้าจะเลือกที่นั่น ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมแล้ว
“เลือกวัน สู้เลือกวันที่ฤกษ์งามยามดี ส่วนเวลากลางคืนจะสามารถปลุกพลังฟ้าดินได้ง่ายกว่า เลือกวันนี้เลยเป็นอย่างใด?”
…
กลางดึก
ฉู่หลิวเยว่มาที่ยอดเขาเยี่ยนหลินคนเดียว โดยยอดเขานี้อยู่ด้านข้างของภูเขาชิงหยวน
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปปีกว่าแล้ว แต่ก็สามารถเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่อยู่บนยอดเขานี้ได้อย่างชัดเจน
ต้นไม้ที่อยู่บนยอดเขานี้ถูกตัดออกไปเป็นจำนวนมาก
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่เดินมาจนถึงยอดเขา
บนยอดเขานี้ก็ถูกคนตัดออกไปจนเหี้ยนเช่นกัน แต่ก็ถือว่าสะดวกสำหรับฉู่หลิวเยว่อย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่รอบๆ หลังจากมั่นใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีปัญหาอันใด ก็ยืนอยู่ตรงกลางทันที
จากนั้นก็ค้นหาของในกระบี่หลงหยวนทันที
นางร่ายคาถาในใจ จากนั้นก็มีก้อนหินดวงดาวก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าของนาง
หินก้อนนั้นมีขนาดสูงเท่ากับคนคนหนึ่ง มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นด้านนอกเป็นสีน้ำเงินดำ หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้ว นางจึงได้เห็นแสงระดับระยับคล้ายดวงดาวที่อยู่บนท้องนภา
และด้านบนนั้นยังมีรอยบิ่นของกระบี่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน จึงจินตนาการออกได้เลยว่าศิลาดวงดาวนี้ผ่านประสบการณ์อันใดมาบ้าง
ตอนนั้นเองก็มีแรงกดดันสายหนึ่งปรากฏออกมา
“ความจริงแล้วภายในประกายดาวเหล่านี้ก็มีพลังทัณฑ์สวรรค์ แต่ว่าผ่านมาตั้งหลายปี ข้าคิดว่าจะต้องปิดผนึก เก็บมันตลอดกาลแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่มันจะได้กลับมาเจอแสงตะวันอีกครั้งหนึ่งด้วย”
ปฐมกษัตริย์พูดแล้วถอนหายใจ
ในใจของฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
“ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ นำกระบี่เทพเมฆาสำริดมาลับบนนี้ จนกว่าหัวใจของมันจะปรากฏขึ้น”
น้ำเสียงขององค์ปฐมกษัตริย์ดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ขั้นตอนนี้จะต้องสูญเสียพลังและจิตวิญญาณอย่างมาก เจ้าจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจดีๆ นะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
จากนั้น นางก็กระโดดขึ้นไปยืนบนศิลาดวงดาวก้อนนั้น
นางสะบัดข้อมือเบาๆ กระบี่เทพเมฆาสำริดก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของนางแล้ว
นางเงยหน้าขึ้นมามอง
เวลาผ่านพ้นมาถึงกลางดึก
บนท้องฟ้าสีดำที่มืดมิด แสงดาวระยิบระยับค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ก่อนจะค่อยๆ บรรจบเป็นทางช้างเผือก และเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งก็จับด้ามกระบี่เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจับที่ปลายกระบี่ หลังจากที่วางมันบนศิลาดวงดาวแล้ว นางก็เริ่มลับกระบี่ทันที!
ฟืด!
…
ในขณะเดียวกันที่ตระกูลเจียง
ภายในห้องหนังสือ
เจียงอวี่เฉิงวางพู่กันที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็เงยหน้ามองเจียงอวี่จือที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เจ้ามาที่นี่ เพื่อบอกข้าเรื่องนี้น่ะหรือ?”
หลังจากที่วันนี้เจียงอวี่จือกลับบ้านมาแล้ว นางก็ร่ำร้องว่าต้องการพบเขา
แต่เพราะว่าวันนี้เขาเจอเรื่องยุ่งยากของอวี้ฉือซงมาแล้ว ดังนั้นจึงให้นางรออยู่ด้านนอกก่อน
หลังจากที่จัดการงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอารมณ์กลับมาคงที่แล้ว จึงเรียกนางให้เข้ามา
เดิมทีเขาคิดว่า นางจะต้องมีเรื่องใหญ่อย่างแน่นอนถึงได้ยินยอมจะรอเขานานขนาดนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า…จะเป็นเรื่องของฉู่หลิวเยว่
ใบหน้าของเจียงอวี่จือ เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านพี่! ฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นรังแกกันเกินไปแล้ว ท่านจะต้องช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้ข้านะเจ้าคะ”
เจียงอวี่เฉิงนั่งพิงเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าน้องสาวของตนเองนิสัยเป็นอย่างใด
ปกติแล้วเขาจะเอาใจนางอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องอันใดก็จะหามาให้ตลอด
แต่คิดไม่ถึงว่านิสัยของนางจะก้าวร้าวมากขึ้นขนาดนี้ เพียงแค่กระบี่เล่มเดียว คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนี้
“อวี่จือ ตอนนี้ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าคนคนนั้นจะเป็นนางหรือไม่ แต่ต่อให้เป็นนางจริงๆ เจ้าก็ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะไปหาเรื่องนางได้ ไม่ว่าจะเรื่องครั้งนั้น หรือครั้งนี้ อีกฝ่ายนั้นซื้อไป ไม่ได้ปล้นเจ้าไปเสียหน่อย”
เจียงอวี่จือกล่าวขึ้นอย่างโมโห
“จะต้องเป็นนางอย่างแน่นอน! ทั่วทั้งเมืองซีหลิง นอกจากนางแล้ว จะมีใครที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าเช่นนั้น? ถิงอันบอกว่า กระบี่เล่มนั้นมีค่าไม่ถึงหนึ่งหมื่นผนึกศิลาขาวเสียด้วยซ้ำ แต่นางกลับต้องการสู้กับข้า นี่ยังไม่เรียกว่าตั้งใจอีกหรือ?”
เจียงอวี่จืออาจจะดูไม่ออก แต่เขากลับเข้าใจการกระทำของซย่าโหวถิงอันเป็นอย่างดี
ไม่ว่าอย่างใดเขาก็เพียงแค่อยากจะใช้โอกาสนี้ประณามการกระทำของเจียงอวี่จือแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่โง่เช่นนี้ เรื่องทำดีหวังผลนั้นไม่ต้องพูด แต่ยังทำให้เจียงอวี่จือต้องกลืนความโกรธลงท้อง
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นลูกชายของตระกูลซย่าโหว ตอนนี้ก็ยังจำเป็นต้องหวังพึ่งตระกูลเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นจึงไม่มี “เงินสำรอง” มากมายนัก
สุดท้ายแล้วเขายังผลักความผิดทั้งหมดลงไปที่ศีรษะของฉู่หลิวเยว่อีก
ในใจของเขาจึงดูถูกการกระทำของซย่าโหวถิงอันอย่างมาก และทำให้เกิดความดูถูกเล็กน้อย
“ซย่าโหวถิงอันพูดอันใดมา เจ้าก็เชื่อหมดเลยหรือ? อวี่จือ เจ้าต้องจำเอาไว้นะ เขาเกี้ยวเจ้า นั่นคือเขาคบคนที่มีฐานะสูงกว่า เจ้าอย่าให้เขามาจูงจมูกเจ้าได้”
แต่เจียงอวี่จือฟังเข้าหูที่ไหนกัน?
ในใจของนางเต็มไปด้วยความอัปยศที่เพิ่งได้รับ
“แต่เพราะเขาพูดถูก ข้าถึงได้ฟังเขา! ฉู่หลิวเยว่ต้องการตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าชัดๆ ท่านพี่ ท่านจะต้องสั่งสอนนางให้ข้านะ!”
เจียงอวี่เฉิงเริ่มหมดความอดทน
“ตอนนี้นางอยู่ในสำนักชงซูเก๋อแล้ว และกลายเป็นศิษย์สายหลักของอวี้ฉือซง ที่เพิ่งกลับมาโดดเด่นในซีหลิง…หากทำอันใดนางตอนนี้ จะต้องกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมายอย่างแน่นอน เรื่องนี้ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดนะ”
เจียงอวี่จือเบิกตาโพลง
“ท่านพี่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสามแล้ว! ท่านคิดจะทำอันใด ยังจะมีคนกล้าพูดอันใดงั้นหรือ? แค่เพียงจัดการฉู่หลิวเยว่เท่านั้น มันไม่เห็นมีอันใดน่ากังวลตรงไหนเลย!?”
แววตาของเจียงอวี่เฉิงเย็นชาขึ้น
“ใครสอนเจ้าให้ทำเรื่องเช่นนี้?”
เจียงอวี่จือหดตัวลง ตอนนั้นเองนางก็เพิ่งนึกถึงคำพูดของซย่าโหวถิงอันได้
…ตอนนี้ท่านพี่มีอำนาจและตำแหน่งสูง ดังนั้นจึงต้องระวังตนเองให้มาก…
นางห่อไหล่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงทันที
“ไม่มีใครสอนข้า…ท่านพี่ ข้าคือน้องสาวแท้ๆ ของท่าน และข้าก็ไม่โง่ ควรพูดอันใด ควรทำอันใด ข้าล้วนรู้ดี…เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านอย่าถือสาเลย…”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงอ่อนโยนลงนิดหน่อยแล้ว แต่น้ำเสียงของเขายังเย็นชาอยู่
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าไม่เคยเอ่ยขึ้น…”