ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 603 ติดหนี้น้ำใจเจ้าหนึ่งครั้ง
ตอนที่ 603 ติดหนี้น้ำใจเจ้าหนึ่งครั้ง [รีไรท์]
เสียงลับคมกระบี่ดังครืดคราด เสียงนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจนในคืนที่เงียบสงบ
เวลาค่อยๆ หมุนผ่าน ฉู่หลิวเยว่รักษาท่าทีเช่นเดิมไว้ตั้งแต่ต้น ราวกับว่าไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
แต่ความจริงแล้ว นางรู้สึกปวดแขนอย่างมาก แทบจะรู้สึกว่าแขนนี้ไม่ใช่แขนของตัวเองแล้ว
ตอนนี้นางใช้เพียงแค่แรงใจที่จะทำให้นางยังคงขยับมือต่อไป
มีแค่ตอนที่นางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงหยุดพักสักครู่
แต่นอกจากเวลาส่วนนั้น นางก็ยังใช้เพื่อลับคม กระบี่เทพเมฆาสำริดนั้นอยู่
เวลาของค่ำคืนหนึ่งค่อยๆ ผ่านไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แสงแดดแห่งรุ่งอรุณสาดแสงส่องมาบนตัวของฉู่หลิวเยว่ ในที่สุดนางก็วางกระบี่ที่อยู่ในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอยู่บนศิลาดวงดาว ยืดเหยียดร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง
เสียง “กร๊อบแกร๊บ” ดังขึ้น
ตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตาย
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็หยิบกระบี่เทพเมฆาสำริดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะอยากจะดูผลลัพธ์ของการลับกระบี่มาทั้งคืน
ในตอนนั้นใบหน้าแห่งการรอคอยของนางก็ชะงักค้างไปทันที
เพราะคาดไม่ถึงว่ากระบี่เทพเมฆาสำริดเล่มนี้ จะมีเพียงชั้นบางๆ เท่านั้นที่ถูกลับออกมา!
เมื่อเทียบกับตัวกระบี่ที่กว้างและหนาของมันแล้ว นี่ถือว่าเป็นส่วนเล็กน้อยอย่างมาก!
หากไม่ใช่เพราะด้านบนของกระบี่เล่มนี้มีรอยสึกอย่างมากมายและชัดเจน นางคงจะคิดว่ากระบี่เล่มนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดเลย!
นางมองไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา หลังจากที่ดูมันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว ผ่านไปสักพัก นางถึงจะยอมรับความจริงนี้อย่างยากลำบาก
…เมื่อวานนางอดหลับอดนอนทั้งคืนเพื่อลับคมกระบี่เล่มนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความคืบหน้าอันใดเลย!
“สาวน้อย เจ้าจะรีบร้อนไปด้วยเหตุใดเล่า เมื่อมันเป็นกระบี่ที่ดี มันจะสามารถหลอมออกมาได้ง่ายๆ งั้นหรือ?”
เหมือนว่าองค์ปฐมกษัตริย์จะสามารถสัมผัสได้ถึงความคาดหวังและการรอคอยของฉู่หลิวเยว่ได้ตั้งนานแล้ว
ฉู่หลิวเยว่จึงถอนหายใจออกมา
“ข้าคิดว่า…”
ตอนนี้ ในที่สุดนางเข้าใจสิ่งที่องค์ไท่จู่พูดเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้พลังและจิตวิญญาณอย่างมาก
นี่มันยากกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
“วางใจเถอะ นี่เพิ่งวันแรกเท่านั้น เจ้ายังไม่ค่อยเชี่ยวชาญมากนัก หลังจากที่ทำไปหลายครั้งแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าควรจะออกแรงอย่างใด ดังนั้นมันจะเร็วขึ้นเองโดยธรรมชาติ”
องค์ปฐมกษัตริย์พูดอย่างปลอบใจ
“ขอบคุณองค์ไท่จู่ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่เก็บกระบี่เทพเมฆาสำริดและศิลาดวงดาวลง จากนั้นก็คิดว่าตอนกลางคืนค่อยมาใหม่อีกครั้ง ในใจก็คิดเอาไว้แล้วนางจะต้องต่อสู้อย่างยาวนานแน่นอน
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม นางจะต้องหลอมกระบี่เล่มนี้ออกมาให้ได้!
…
ฉู่หลิวเยว่กลับไปยังภูเขาชิงหยวน นางเก็บของอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปที่สวนสมุนไพร
เมื่อไม่มีทรายรวมศูนย์แล้ว สมุนไพรเหล่านี้ก็สามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น
แต่ว่านางก็ค้นพบว่า เหมือนว่าศิษย์พี่ทั้งหลายจะดูยุ่งขึ้นไม่น้อย
ปกติแล้วนางจะเห็นว่าพวกเขาจะมาที่สวนสมุนไพร แต่วันนี้มีเพียงฉู่หลิวเยว่ผู้เดียวเท่านั้น ตอนที่นางกำลังเดินจากมา นางถึงเพิ่งเห็นศิษย์พี่หญิงคนหนึ่ง
นางคุยกับศิษย์พี่หญิงผู้นั้นสักประโยคสองประโยค ฉู่หลิวเยว่ถึงได้รู้ว่า ที่แท้พวกเขากำลังเตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
หลังจากข่าวนี้ประกาศออกไปแล้ว ศิษย์ของสำนักชงซูเก๋อก็เหมือนว่ากำลังรอคอยอยู่
พวกเขารู้ดีว่า ในงานแข่งขันครั้งนี้ ทุกสำนักต่างพุ่งเป้ามายังสำนักชงซูเก๋อ!
สำนักพันธมิตรเก้าดาราและสำนักอื่นๆ อยากได้ตำแหน่งหนึ่งในสี่สำนักที่ยอดเยี่ยมของพวกเรามาตั้งนานแล้ว ที่งานแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นก่อนขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของพวกเขาด้วย
ขอเพียงแค่พวกเราแข็งแกร่งมากพอ และสามารถแสดงฝีมือออกมาอย่างโดดเด่น ถึงจะสามารถรักษาตำแหน่งของสำนักชงซูเก๋อในตอนนี้ได้
ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจึงต้องขยันขันแข็งอย่างมาก
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เดินมาที่เรือนของอวี้ฉือซง
ตอนที่นางเดินมาถึง ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่บนม้าหินหน้าบ้านแล้ว ตรงหน้าเขามีกระดานหมากรุกตั้งเอาไว้อยู่ด้วย
กระดานหมากรุกแผ่นนั้นดูคุ้นตาอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่มองกระดานแผ่นนั้นอย่างละเอียด จากนั้นก็ค่อยนึกได้ว่านั่นเป็นกระดานที่นางมอบให้อวี้ฉือซง
ตอนนั้นนางยังเด็กมาก และสลักหยกแผ่นนั้นด้วยตนเอง
แต่เพราะว่าหยกก้อนนั้นมันแข็งมาก นางจึงต้องใช้พละกำลังอย่างมาก กว่าจะแกะสลักได้อย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม
หลังจากนั้นนางก็คิดว่า ของชิ้นนั้นมันน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
นางคิดว่าเขาจะทิ้งของชิ้นนี้ไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่า…เขาจะเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดี
“อาจารย์”
เสียงของนางนั้นเบามาก
อวี้ฉือซงดึงสติกลับมา แววตาของเขายังมีความสับสนปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้กำลังมองที่กระดานหมากรุก แต่กำลังคิดอันใดบางอย่างอยู่ต่างหาก
“หลิวเยว่? เจ้ามาแล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปหา จากนั้นก็สำรวจใบหน้าของอวี้ฉือซงด้วยความระมัดระวัง ในใจมีประกายความประหลาดใจเล็กน้อย
เวลาเพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียว แต่เหมือนว่าอวี้ฉือซงแก่ขึ้นตั้งหลายปี
ดวงตาแดงก่ำ ใต้ตาดำคล้ำ เหมือนว่าไม่ได้หลับมาทั้งคืน ใบหน้าดูอ่อนล้าอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องของเมื่อวานนั้นได้ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างแรง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
นางรีบกะพริบตาอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์ ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีของจะมอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
อวี้ฉือซงมองหน้านางอย่างสงสัย
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หยิบของบางอย่างออกมาจากในแหวนเฉียนคุน
ตอนแรกอวี้ฉือซงนั้นยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่หลังจากที่เขาเปิดกล่องทั้งสองใบขึ้นแล้ว เขาก็นึกถึงอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจ
“นี่มัน…”
“นี่คือของที่ท่านเคยเอาไปขายที่หอร้อยโอสถเจ้าค่ะ ข้าช่วยท่านซื้อกลับคืนมาให้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดไป พร้อมหยิบของชิ้นสุดท้ายออกมา
ที่ข้างฝ่าเท้าของพวกเขาทั้งสอง มีสิ่งของวางทับถมกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม
“นอกจากของที่ขายไปแล้ว ยังมีของพวกนี้ด้วย” ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น
อวี้ฉือซงมองสิ่งของเหล่านั้น ใบหน้าตกตะลึง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย
“…หลิวเยว่…เจ้า…เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้…”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น
“ข้าไม่รู้ชิ้นไหนที่ท่านรักมันมาก ดังนั้นจึงพยายามนำกลับคืนมาทั้งหมด สำหรับคนอื่นแล้ว ของเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงของหายากเท่านั้น แต่สำหรับท่านแล้ว นี่อาจจะเป็นของที่สำคัญอย่างมาก ในเมื่อข้ามีกำลัง การช่วยท่านนั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ลำคอของอวี้ฉือซงเหมือนมีอันใดสักอย่างติดอยู่ หลังจากมองหน้าของฉู่หลิวเยว่อยู่สักพัก ใบหน้าของเขาก็ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
“เจ้ามีเงินมากขนาดนี้ได้อย่างใดเนี่ย?”
เขารู้ว่าครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่ไปที่หอร้อยโอสถนั้นล้วนใช้เงินของมู่ชิงเห่อ
แต่ตอนนี้นางย้ายออกมาจากจวนตระกูลมู่แล้ว อีกทั้งก็ไม่ได้ติดต่ออันใดกับมู่ชิงเห่ออีก นางต้องไม่สามารถใช้เงินของจวนมู่ได้อีกแล้ว
อีกทั้งเมื่อนำของเหล่านี้มารวมกัน ราคามันก็ไม่น้อย…
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล หากข้าลำบาก ข้าคงไม่ช่วยนำของเหล่านั้นกลับมาให้ท่านอย่างแน่นอน”
เมื่อฉู่หลิวเยว่พูดจบ และเห็นว่าใบหน้าของอวี้ฉือซงยังมีความกังวลอยู่ จึงจำเป็นต้องบอกเรื่องที่นางไปรีดทรัพย์จากเจี่ยนเฟิงฉือให้อวี้ฉือซง
แน่นอนว่านางเล่าแค่สั้นเท่านั้น ไม่ได้เล่าโดยละเอียด
แต่ว่าหลังจากอวี้ฉือซงได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ไม่หาย
เขารู้เพียงแต่ว่าเจี่ยนเฟิงฉือนั่นชอบเล่นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาหาเงินเก่งและมีเงินเยอะมากขนาดนี้!
แต่หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พูดจบ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เมื่อมองเห็นสิ่งของที่กองอยู่แทบเท้าของเขา เขาก็เงียบไปอยู่นาน ในที่สุดก็พูดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาจารย์ก็ไม่ขอปฏิเสธก็แล้วกัน หลิวเยว่ อาจารย์ติดหนี้น้ำใจเจ้าแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“อาจารย์ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า พูดเช่นนี้จะเกรงใจกันเกินไปแล้ว”