ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 608 ฮูหยิน
ตอนที่ 608 ฮูหยิน [รีไรท์]
“ระวังคำพูด? คำพูดเช่นนี้สามารถหลุดออกมาจากปากของหอร้อยโอสถอย่างพวกเจ้าได้ด้วยหรือ?”
เจียงอวี่จือไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเย่ว์หลิงเลย ทางตรงข้ามกลับคิดว่านางพูดแทงใจดำของอีกฝ่าย จึงพูดต่อไป
“ข้าจำได้ว่าตอนที่นางมาหอร้อยโอสถครั้งแรก นางมากับต้วนจืออวี่ และคนผู้นั้นคือคนสนิทของมู่ชิงเห่อ ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ดูสถานะของต้วนจืออวี่ จึงต้องเสียปะการังแห่งแผ่นดินไปให้เขาไม่ใช่หรือ?”
หลังจากนั้น ก็มีข่าวลือแพร่กระจายออกมาว่าฉู่หลิวเยว่มีมู่ชิงเห่อเป็นที่พึ่งพิง
แต่ต่อมาก็มีข่าวลือจากที่ไหนไม่ทราบว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจี่ยนเฟิงฉือ
แค่ในสองเวลาสั้นๆ ไม่ถึงเดือน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับมีข่าวลือกับพวกเขาทั้งสองได้นั้น นางก็ถือว่ามีความสามารถไม่เบา
เย่ว์หลิงกล่าวขึ้นเสียงเย็น
“คุณหนูสี่ ถ้าข้าจำไม่ผิดละก็ ในวันนั้นที่คุณหนูฉู่สามารถซื้อได้เป็นเพราะว่านางเสนอราคาสูงกว่าไม่ใช่หรือ ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางจึงเป็นคนได้ปะการังแห่งแผ่นดินชิ้นนั้นไป”
สีหน้าของเจียงอวี่จือก็ดูย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
แต่นางก็ยังฝืนพูดออกมาว่า
“แต่อย่างใดก็ตาม ที่ข้ามาวันนี้ เพื่อบอกกับพวกเจ้าว่า ฉู่หลิวเยว่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเห่อเลยแม้แต่น้อย! ที่นางอยู่ในเมืองซีหลิงนี้นั่น นางไม่มีที่พึ่งพาหรือผู้สนับสนุนใดๆ ทั้งสิ้น! นางเป็นเพียงคนไร้นามจากเมืองด้านนอกพรมแดนม่านฟ้าเท่านั้น!”
ตอนที่ได้ยินครึ่งประโยคแรก เย่ว์หลิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง ขนทั่วทั้งสรรพางค์ก็ลุกชูชันทันที
เขาเดินก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว สายตาจดจ้องไปที่เจียงอวี่จือตาเขม็ง น้ำเสียงก็จริงจังมากขึ้น
“คุณหนูสี่ ได้โปรดถอนคำพูดของท่านเมื่อครู่นี้ด้วยขอรับ!”
แต่เจียงอวี่จือไม่คิดเช่นนั้น กลับหัวเราะเยาะเย้ยว่า
“เหตุใด ประมุขเย่ว์ไม่เชื่อหรือ? ไม่เช่นนั้นก็ไปเชิญรองแม่ทัพมู่มาที่นี่สิ ข้าจะถามเขาด้วยตนเองเลย”
เย่ว์หลิงด่าเจียงอวี่จือว่าไม่มีสมองอยู่ในใจ
ถ้านางอยากตายคนเดียว เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาดึงเขาไปด้วย!
“พวกเรารู้ตั้งนานแล้วว่าคุณหนูฉู่และรองแม่ทัพมู่นั่นไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่ตอนนี้นางเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของหอร้อยโอสถ เราจะสร้างข่าวร้ายให้นางไม่ได้! ถ้าหอร้อยโอสถสามารถยอมรับผลลัพธ์จากการล่วงเกินหอร้อยโอสถได้ละก็ เช่นนั้นก็พูดต่อเถิด!”
เจียงอวี่จือชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเข้าใจความหมายของเขา
นี่เขาหมายความว่า…เขารู้อยู่นานแล้วว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีคนสนับสนุน แต่เพราะว่านางจ่ายเงินไปไม่น้อย ดังนั้นจึงเลือกปกป้องนางเช่นนี้น่ะหรือ?
“เจ้า…”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเย่ว์หลิง หัวใจของนางก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย
นางแค่พูดความจริงหนึ่งประโยคเท่านั้นเอง เหตุใดปฏิกิริยาของเย่ว์หลิงถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เล่า?
ดูไปแล้ว เหมือนว่าเขาต้องการลงมือกับนางอย่างใดอย่างนั้น!
แม้ว่านางจะกำเริบเสิบสาน แต่เมื่อเทียบกับคนอย่างเย่ว์หลิง นางก็เหมือนเป็นเด็กไม่รู้ประสาเท่านั้น
เดิมทีก็ไม่สิทธิ์จะไปสู้กับเขาอยู่แล้ว
“ข้า…ข้าแค่มาที่นี่เพื่อบอกพวกเจ้า…นาง…นางไม่ได้เก่งกาจอันใดเลย…เหตุใดพวกเจ้าต้องประคบประหงมนางขนาดนั้นด้วย?”
ในใจของเจียงอวี่จือเต็มไปด้วยความโมโหระคนไม่เข้าใจ
ถ้าเทียบกันด้วยฐานะแล้ว นางสูงส่งกว่าฉู่หลิวเยว่ตั้งไม่รู้กี่เท่า!
ต่อให้ฉู่หลิวเยว่มีผู้สนับสนุนเป็นมู่ชิงเห่อแล้วอย่างใด?
มู่ชิงเห่อเป็นลูกน้องของพี่ชายนางนะ!
แล้วตอนนี้ เย่ว์หลิงกลับเลือกที่จะโจมตีนางอย่างไม่ลังเล เพราะต้องการปกป้องฉู่หลิวเยว่?
นี่ไม่ได้มีอันใดเข้าใจผิดไปใช่หรือไม่?
เย่ว์หลิงบ้าไปแล้วหรือ
วันนี้เย่ว์หลิงออกจากบ้านมาไม่ได้ดูปฏิทิน ถึงได้ถูกคนโง่ยั่วโมโหเช่นนี้!
ฉู่หลิวเยว่ไม่มีผู้สนับสนุนอยู่ในซีหลิง แต่มีอยู่ที่หมื่นลี้ที่ห่างออกไป
และที่สำคัญก็คือ คนผู้นั้นเป็นคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา และตอนนี้เขาคนนั้นกำลังยืนอยู่ชั้นบนนี่เอง!
นายท่านจะต้องเห็นทั้งหมดแล้วอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่ว์หลิงก็แทบอยากจะฆ่าเจียงอวี่จือแล้ว!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“หอร้อยโอสถของข้านั้นจะทำการค้าอย่างใด คงไม่ต้องให้คุณหนูสี่มาชี้นิ้วสั่งสอนหรอกขอรับ ใครก็ได้ มาเชิญตัวคุณหนูสี่ออกไปที!”
เจียงอวี่จือชี้นิ้วมาที่ตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นี่เจ้าไล่ข้าหรือ?”
เย่ว์หลิงเหยียดริมฝีปากขึ้น แต่ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม
“อยู่ด้านนอก ท่านจะพูดอย่างใดก็ได้ แต่เมื่ออยู่ในหอร้อยโอสถของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามสร้างความอัปยศให้ลูกค้าระดับพิเศษของข้า คุณหนูสี่ ล่วงเกินแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาก็เหลือบสายตาไปมองพนักงานและองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา
“ยังเหม่ออันใดอยู่เล่า?”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่ง พวกเขาก็รีบพุ่งไปด้านข้างด้วยความพร้อมเพรียง
วันนี้ท่านประมุขน่ากลัวอย่างมาก!
น่ากลัวกว่าวันที่สั่งสอนผู้หญิงปากมากพวกนั้นอีก!
ในใจของพวกเขาทุกคนเต้นตึกตัก จากนั้นก็รีบหิ้วปีกเจียงอวี่จือออกไป
ปอดของเจียงอวี่จือก็แทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
“เย่ว์หลิง!? เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ? พี่ชายของข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เย่ว์หลิงเดินไปถึงที่หน้าประตู จากนั้นก็มองไปยังเจียงอวี่จือ พร้อมยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“คุณหนูสี่ กฎของพวกเราเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ต่อให้คุณชายใหญ่เจียงมา ข้าก็จะทำเช่นนี้ อีกทั้ง…ช่วงนี้คุณชายใหญ่พยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจมากนัก หากเขารู้เรื่องในวันนี้ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครจะเดือดร้อน”
เจียงอวี่จือชะงักไป! จากนั้นก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที
ใช่แล้ว
นางเกือบลืมไปเลย ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยกำชับเอาไว้ว่า ห้ามนางออกมาก่อเรื่องโดยเด็ดขาด
ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่านางแอบออกมา
ถ้าเรื่องวันนี้ไปเข้าหูเขาเข้า เขาจะต้องไม่ยอมปล่อยนางไปอย่างง่ายๆ แน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของนางก็มีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นมา
เย่ว์หลิงพูดต่อว่า
“อ่า จริงสิ หลังจากนี้คุณหนูสี่ไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะขอรับ จากนี้ไปหอโอสถของพวกเราจะไม่ทำการค้ากับท่านอีกแล้ว แต่ด้วยฐานะของคุณชายใหญ่เจียง ก็คงไม่ได้เกี่ยวพันกับตระกูลของท่าน แต่ยังหวังว่าต่อไปนี้เมื่อคุณหนูสี่จะทำเรื่องอันใดก็ตามให้ระวังหน่อยนะขอรับ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
เมื่อพูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในหอร้อยโอสถทันที ส่วนเจียงอวี่จือก็ถูกปล่อยให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ที่เขาพูดเมื่อครู่นี้…มันหมายความว่าอย่างใดกัน?
คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำกับข้าเช่นนี้?
เพราะว่าความโกรธ ใบหน้าของเจียงอวี่จือจึงบิดเบี้ยวอย่างมาก
นางยังจะพุ่งตัวกลับเข้าไป แต่คำพูดเมื่อครู่นี้ของเย่ว์หลิงยังคงยังก้องหูของนางอยู่
นางยืนลังเลตรงที่เดิมอยู่นาน จากนั้นคนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มชี้มือชี้ไม้มาทางนี้ ในที่สุดนางก็ต้องหลบหนีความอับอายออกไป
…
เย่ว์หลิงกลับมาที่ชั้นสามแล้ว จากนั้นก็เห็นหรงซิวนั่งเงียบๆ อยู่ภายในห้อง
ใบหน้าของเขาราบเรียบอย่างมาก ทำให้ยากจะคาดเดาอารมณ์
เย่ว์หลิงกำลังจะพูดขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงของเขาพูดว่า
“เหมือนว่าช่วงนี้ นางกำลังเล่นสนุกในซีหลิงสินะ”
ทันใดนั้นเย่ว์หลิงก็รู้สึกถึงสงครามเย็น
“…นายท่าน…ความจริงแล้ว ข่าวลือพวกนั้น ท่านก็รู้ว่าสามคนกลายเป็นเสือ[1]…ความจริงแล้วคุณหนูหลิวเยว่นาง”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาของเขาสงบราบเรียบอย่างมาก
“จำเอาไว้ ยกเว้นเวลาที่อยู่ต่อหน้านาง ให้เรียกนางว่าฮูหยิน”
[1]สามคนกลายเป็นเสือ แปลว่า คนสามคนที่ทยอยพูดเรื่องเดียวกันให้คนคนหนึ่งฟัง คนที่ถูกพูดกรอกหูซ้ำๆ ย่อมจะคล้อยตามคนพูดได้ ก็จะทำให้ข่าวลือ หรือเรื่องเท็จกลายเป็นเรื่องจริง