ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 615 อย่ามองข้าเช่นนั้น
ตอนที่ 615 อย่ามองข้าเช่นนั้น [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่เดินกลับไปยังเรือนที่พักของตนเอง ระหว่างทางก็เจอกับศิษย์พี่ศิษย์น้องจำนวนไม่น้อย
ทุกคนล้วนมองนางด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนทั้งสงสัยและตื่นเต้นดีใจ
“ศิษย์น้องหญิง! เจ้ากลับมาแล้วหรือ!”
“ศิษย์น้องหญิง! มีคนมาหาเจ้าล่ะ!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ฉู่หลิวเยว่ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สถานการณ์แบบนี้ เหมือนกับตอนที่เยี่ยนชิงมาหานางเมื่อครั้งที่แล้วเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวกับการแข่งขันอยู่ เกรงว่ามันจะต้องครึกครื้นมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่กล่าวทักทายทุกคน และต้องอดทนต่อสายตาที่แผดเผา จากนั้นนางก็ได้เดินมาถึงที่หน้าประตูเรือนแล้ว
ขณะที่เปิดประตู
นางก็สาวเท้าเดินเข้าห้องไป
ในห้องนั้นมีผู้ชายอยู่สามคน
เยี่ยนชิงที่เพิ่งพบกันไปเมื่อไม่นานมานี้ กำลังยืนกุมมือด้วยความเคารพอยู่
ส่วนเชียงหว่านโจวก็ยืนตัวตรงหลังตรงอยู่กลางห้อง สายตาที่เย็นชาของเขาจ้องมองไปยังชายที่ยืนอยู่ด้านข้างชั้นหนังสือ บรรยากาศดูเย็นชาอย่างมาก
เมื่อฉู่หลิวเยว่มองไป
เห็นแผ่นหลังที่สูงใหญ่ เสื้อคลุมสีขาวยาวพลิ้วไสว
แม้จะเห็นเพียงแผ่นหลังของเขา นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่สูงส่งและเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่ตกใจอย่างมาก ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น หัวใจเต้นดังโครมครามราวกับจะหลุดออกมา
“หรงซิว!?”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น หรงซิวก็กลับหลังหันมามอง ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย
“เยว่เอ๋อร์”
ใบหน้าที่เหมือนหยกสลัก มีรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนปรากฏขึ้น ดวงตาหงส์พราวระยับเหมือนมีดวงดาวยามค่ำคืน ทำให้คนหลงใหลอย่างไม่รู้ตัว
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
ฉู่หลิวเยว่ทั้งตกใจและดีใจ แต่ก็ยังไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
“เจ้ามาได้อย่างใด?”
เขากลับไปที่หมิงเยว่เทียนซานไม่ใช่หรือ?
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านางแล้ว!
ที่แท้ “สหาย” ที่เย่หรานหร่านพูดถึงคือเขางั้นหรือ?!
มิน่าล่ะสีหน้าของศิษย์พี่จึงมองมาอย่างสงสัย…
คนอย่างเขาไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาอยู่แล้ว!
หรงซิววางหนังสือในมือลง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกล่าวว่า
“ช่วงนี้ข้ากำลังทำงานบางอย่างอยู่ มีโอกาสแวะมาแถวนี้พอดี จึงถือโอกาสมาหาเจ้าด้วย”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัยขึ้นมา
หรงซิวกำลังทำอันใดอยู่ถึงได้ผ่านมาทางซีหลิงเช่นนี้ได้?
แต่ความคิดนั้นก็ผ่านมาแค่ครู่เดียวเท่านั้น กลับมีความสุขและดีใจเข้ามาแทนที่
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งสองจากกันมาไม่ถึงเดือน แต่นางก็รู้สึกว่ามันผ่านมานานแสนนานแล้ว
ความคิดถึงที่ถูกกดทับอยู่ด้านในสุด ก็คล้ายจะปะทุและพวยพุ่งออกมา
เมื่อหรงซิวเห็นว่าในแววตาของนางคล้ายจะมีทะเลดวงดาวปรากฏขึ้น หัวใจของเขาก็สั่นไหว และสาวเท้าก้าวไปหาฉู่หลิวเยว่
ตอนนั้นเขาก็ได้ยืนอยู่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่ หลุบตามองต่ำ แล้วจ้องใบหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างละเอียด
ภายในแววตาหงส์ที่กระจ่างใส มีความอ่อนโยนและคิดถึงอย่างปิดบังไม่มิด เหมือนกับกระแสน้ำวน ที่ทำให้คนลุ่มหลงได้อย่างง่ายดาย
สีหน้าของเชียงหว่านโจวก็เย็นชามากขึ้น เขาคิดจะเดินก้าวขึ้นไป แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายตาที่อันตรายจากด้านข้าง
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
เยี่ยนชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาทั้งสี่ของพวกเขาสอดประสานกัน ในแววตามีคำเตือนส่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ล้อเล่นน่า!
นายท่านของเขาตามมาที่ซีหลิงโดยเฉพาะ ไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้มาเจอกับคนในดวงใจเช่นนี้ ใครจะกล้าเข้าไปขัดจังหวะพวกเขาในตอนนี้กัน?
“นายท่าน ข้าน้อยขอตัวลา”
เยี่ยนชิงโค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไปด้านนอก
ตอนที่กำลังเดินผ่านเชียงหว่านโจว เขาก็ชะงักฝีเท้า พร้อมเชิดคางขึ้น
“เจ้าคือเชียงหว่านโจวสินะ? ได้ยินว่าเจ้ามีฝีมือไม่เลวเลย เช่นนั้นพวกเราออกไปแลกเปลี่ยนวิชากันหน่อยเป็นอย่างใด?”
เชียงหว่านโจวมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ชายชุดขาวผู้นี้ เมื่อมาถึงก็บอกว่าตนเองเป็นสหายของฉู่หลิวเยว่ แต่ตอนนี้เห็นเยี่ยนชิง เชียงหว่านโจวก็นึกขึ้นได้ ว่าผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่มอบแหวนเฉียนคุนวงนั้นให้กับฉู่หลิวเยว่อย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเขากับฉู่หลิวเยว่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
เยี่ยนชิงหลับตาลง และรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
เหตุใดเด็กคนนี้ถึงตาไร้แววขนาดนี้เนี่ย?
เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าแขนของเชียงหว่านโจว แล้วลากเขาออกไป
เชียงหว่านโจวรีบขืนตัวทันที แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าเขาไม่สามารถสลัดเยี่ยนชิงให้หลุดออกได้เลย เขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยนชิงเลย!
เมื่อเป็นเช่นนั้น เยี่ยนชิงจึงลากเขา แม้กระทั่งเวลาโต้เถียงยังไม่มอบให้เขาด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะออกไป เขายังปิดประตูให้อย่างเอาใจใส่ด้วย
เขาอยู่กับนายท่านมาหลายปีขนาดนี้ ถ้าแค่นี้ยังไม่มีแวว มองไม่ออก ก็แย่แล้ว!
…
ทั้งสองคนกอดกัน ใบหูของฉู่หลิวเยว่แนบอยู่ที่อกของเขา จึงทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นได้อย่างชัดเจน
ราวกับว่าเสียงนั้นดังสะท้อนจากในหู แล้วสอดประสานกับจังหวะหัวใจของนาง
ครั้งแล้วครั้งเล่า
กลิ่นหอมเย็นๆ ที่คุ้นเคยก็ลอยแตะจมูก
ส่วนลึกในหัวใจ ที่ไหนสักแห่ง เหมือนได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
“เหตุใดจู่ๆ เยี่ยนชิงจึงอยากแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับเสี่ยวโจวเล่า?”
หรงซิวกะพริบตาเล็กน้อย
“เสี่ยวโจว?”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมองเขา
“จริงสิ เด็กผมสั้น หัวสีทองที่ยืนอยู่เมื่อครู่นี้มีชื่อว่า…เชียงหว่านโจว ข้ารู้จักกับเขาตอนที่เข้าประลองงานหมื่นทูร เด็กคนนั้นเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวจากชายแดนใต้ วรยุทธ์ดีมาก นิสัยก็ไร้เดียงสา เขาไม่ค่อยรู้เรื่องบุญคุณความแค้นของคนเราเท่าไหร่…”
หรงซิววางคางบนศีรษะของนาง เหมือนจะขัดจังหวะการพูดของนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ น้ำเสียงก็ยังแฝงความเกียจคร้านและริษยาเล็กน้อย
“อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องสิ…ตอนนี้…มีแค่ข้า…”
ตอนนั้นเอง เขาก็โน้มตัวลง แล้วกดริมฝีปากบางลงบนหว่างคิ้วของฉู่หลิวเยว่
“หรงซิว…” เสียงของนางเหมือนโดนลมพัดหายไป
หัวใจของหรงซิวก็เหมือนถูกอันใดบางอย่างลวกเข้า ในที่สุดถึงได้ปล่อยนางออกมา จากนั้นก็ลูบผมยาวๆ ของนางด้วยมือข้างหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางฉ่ำน้ำ
หรงซิวกดจูบบนเปลือกตาของนางอีกครั้ง จากนั้นก็ปิดดวงตาของนางลง
“เยว่เอ๋อร์ อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ”