ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 620 ลับคมรอ
ตอนที่ 620 ลับคมรอ [รีไรท์]
มู่หงอวี่อ่านจดหมายอย่างระมัดระวังซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง พลันตาแดงระเรื่อ
ฉู่หลิวเยว่ตบบ่าของนางเบาๆ
“หงอวี่ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือ?”
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร! ท่านพ่อท่านของแม่ข้าดีใจมาก ที่รู้ว่าข้าไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังมาที่ซีหลิงเพื่อฝึกฝนด้วย พวกท่านบอกให้ข้าตั้งใจฝึกให้มาก!”
ในโลกใบนี้ ย่อมไม่มีสิ่งใดที่น่ายินดีมากไปกว่าการได้เจอสิ่งล้ำค่าที่หายไปจากชีวิตอีกแล้ว
มู่หงอวี่ยื่นจดหมายฉบับนั้นให้ฉู่หลิวเยว่ดู
“เจ้าดูสิ หลิวเยว่ ท่านพ่อท่านแม่เขียนขอบคุณเจ้าด้วยนะ!”
ฉู่หลิวเยว่รับจดหมายมาอ่าน พลันริมฝีปากบางก็เผยรอยยิ้มงดงามราวดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
“ดีแล้ว เช่นนี้พวกเขาก็หายห่วงแล้ว”
เจี่ยนเฟิงฉือกระแอมในลำคอ
มู่หงอวี่จึงรีบตอบกลับทันควัน
“จริงด้วย! องค์ชาย ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ฝากคำขอบคุณถึงเจ้าเช่นกัน”
เจี่ยนเฟิงฉือเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางกระตุกมุมปากเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจอันใดมากนัก และพูดว่า
“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องขอบคุณ”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาด้วยหางตา
เหอะ!
ถ้าไม่สนใจจริงๆ แล้วเมื่อครู่จะกระแอมไอออกมา?
“หงอวี่ ใยเจ้าจึงเรียกนายน้อยเจี่ยนว่าองค์ชายเช่นนั้น?”
มู่หงอวี่อธิบายต่อ
“เอ่อ นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนที่อยู่บนภูเขาเขี้ยวมังกร เรียกเขาเช่นนั้น”
หากให้นางเรียกเขาว่า “นายน้อยเจี่ยน” อยู่คนเดียว มันคงจะฟังดูแปลกพิลึก
ดังนั้นนางจึงเลือกทำตามคนอื่นๆ ดีกว่า
ฉู่หลิวเยว่คิดตามและเข้าใจในทันที
ตอนนี้มู่หงอวี่ได้ปฏิญาณเป็นศิษย์ของเจี่ยนชูเย่แล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่านางได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรอย่างเป็นทางการ ในอนาคตนางอาจจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน และเป็นการดีที่นางคิดปรับตัวเข้าร่วมกับผู้อื่นให้ไวที่สุด
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบ
“ดูเหมือนเจ้าจะปรับตัวเข้ากับภูเขาเขี้ยวมังกรได้ดีเลยนะ”
มู่หงอวี่ยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเรียวรีที่ดูเปล่งประกาย
“ถูกต้องแล้ว! ท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสที่นี่ปฏิบัติต่อข้าดีมากๆ อีกอย่าง ดูเหมือนว่าตอนนี้พัฒนาการการฝึกฝนของข้าจะเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย…ท่านเจ้าสำนักบอกว่าอาจเป็นเพราะพื้นฐานร่างกายของข้าด้วย และไม่นาน ข้าคงจะทะลวงฝ่าขึ้นระดับสูงๆ ได้”
ย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่ยังอยู่แคว้นเย่าเฉิน นางถือได้ว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเลิศกว่าผู้ใด และยิ่งเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนที่เก่งกาจข้างนอกนั่น ยิ่งแล้วใหญ่
ทว่าตอนนี้มวลสารในร่างกายของนางนั้นได้ต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่ในบรรดาราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมด นางกล้าพูดเลยว่า บัดนี้นางถือเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด
ฉู่หลิวเยว่มองนางด้วยแววตาชื่นชม และรู้สึกยินดีไปกับนางด้วย
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็หายห่วง และในเมื่อจดหมายถึงมือแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา”
มู่หงอวี่รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง
“ข้าเพิ่งมาถึง แต่เจ้าจะกลับแล้วรึ…เช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง!”
ฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจครู่หนึ่ง “ได้”
ครั้นทั้งสองร่างเดินออกไปพร้อมกัน รอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือก็ค่อยๆ หายไป คิ้วของเขากระตุกถี่ ก่อนจะลุกขึ้น และรีบกลับไปที่ห้องของตัวเอง
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เขาก็รีบปลดเสื้อผ้าบนร่างกายออกอย่างว่องไว พลันมีประกายไฟวาบขึ้นจากปลายนิ้วของเขา ส่งผลให้เสื้อผ้าเหล่านั้นลุกไหม้ในพริบตา
กระทั่งชุดของเขาถูกไฟคลอกไปทั่ว เขาถึงสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ
“ใครก็ได้เข้ามาที ข้าต้องการชำระล้างร่างกายเดี๋ยวนี้!”
…
อีกฝั่งหนึ่ง มู่หงอวี่เดินไปส่งฉู่หลิวเยว่ได้พักใหญ่ๆ แล้ว ระหว่างทางทั้งสองคนต่างพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดของพวกเขา และเมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงตีนเขา ฉู่หลิวเยว่ก็เผลอพลั้งปากเอ่ยถามอย่างลืมตัว
“หงอวี่ ตลอดสองสามวันที่เจ้ามาอยู่ภูเขาเขี้ยวมังกร นายน้อยเจี่ยนเองก็พักอยู่บนเขาตลอดเลยหรือ?”
“ใช่แล้ว! ข้าไปขอยาอายุวัฒนะจากเขาทุกวันเลย!”
มู่หงอวี่ถามต่ออย่างแปลกใจ
“เจ้าถามมีอันใดรึ?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่มีอันใด ข้าแค่ไม่คิดว่า…เขาจะยอมอยู่แต่บนเขาเฉยๆ เช่นนั้น”
เมื่อได้ยินแบบนั้น มู่หงอวี่ก็หัวเราะออกมาทันที
“ความจริงแล้วเขาโดนบังคับต่างหาก ท่านเจ้าสำนักบอกว่าเขาเสเพลเกินไปแล้ว คราวนี้เลยสั่งให้เขาตั้งใจฝึกตนอยู่บนเขาเขี้ยงมังกรอย่างจริงจัง ข้าได้ยินว่าท่านเจ้าสำนักหาตำราการแพทย์พิเศษมาให้เขาหลายเล่มด้วย เห็นว่าสองสามวันมานี้เขาก็เอาแต่อ่านตำราพวกนั้นนั่นแหละ”
“ตำราการแพทย์รึ? บนภูเขาเขี้ยวมังกรมีเซียนหมออยู่ไม่น้อย เช่นนั้นย่อมต้องมีตำราการแพทย์ที่หลากหลายอยู่แล้ว? แต่เจ้าสำนักยังอุส่าดั้นด้นค้นหาตำรามาเพิ่มให้เขาอีกหรือ?”
มู่หงอวี่ชะงักไปนิด ก่อนตอบ
“น่าจะอย่างนั้น เห็นว่าเป็นตำราเล่มสุดท้ายอันใดสักอย่าง…แต่ฟังดูขลังมากเชียวล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลง
ตำราการแพทย์…
พรสวรรค์ในการเป็นเซียนหมอของเจี่ยนเฟิงฉือนั้นถือว่าดีเยี่ยม และเขาก็ฝึกฝนมันมาหลายปี
เขาเคยอ่านตำราการแพทย์มานักต่อนัก และผ่านการปรุงยามานับไม่ถ้วน
และปัจจุบันก็ยังได้อ่านตำราเล่มสุดท้าย ที่หลงเหลืออยู่เพียงเล่มเดียวอีก…
“หลิวเยว่…หลิวเยว่?”
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปนาน จนมู่หงอวี่ต้องเรียกนางถึงสองครั้ง
“นั่นเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?”
ไม่นานแหลิวเยว่ก็ดึงสติกลับมา พลางยิ้มบาง
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่า แม้แต่คนอย่างนายน้อยเจี่ยนยังฮึกเหิมตั้งใจฝึกฝนขนาดนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องพยายามมากขึ้นแล้ว เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ ตั้งใจฝึกฝน แล้วเจอกันใหม่ที่งานประชุมสำนักวิชา”
มู่หงอวี่พยักหน้าระรัว พร้อมสีหน้าปิติยินดี
“ตกลง!”
…
กว่าฉู่หลิวเยว่จะกลับไปถึงชงซูเก๋อ ก็ถึงยามที่ราตรีมาเยือนเสียแล้ว
ระหว่างทางนั้น นางก็พบเจอศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคน ที่เข้าทักทาย และยกยอชื่นชมวิสัยทัศน์ของนาง อีกทั้งยังยุให้นางสนิทสนมกับหรงซิวเข้าไว้ จะได้แต่งงานกันเร็วๆ
ตอนแรกฉู่หลิวเยว่ยังคงงุนงง แต่ต่อมานางถึงเข้าใจว่านี่คือแผนซื้อใจคนของหรงซิว
และก็ไม่รู้ว่าแหวนเฉียนคุนวงนั้นมีค่ามากมายเพียงใด…
ฉู่หลิวเยว่ตอบรับคำยินดีของแต่ละคน จนในที่สุดก็ปลีกตัวกลับห้องของตนได้
เชียงหว่านโจวทำความสะอาดห้องไว้ให้นางตามปกติ แม้จะไม่มีใครอยู่ก็ตาม
หลังจากจัดการตัวเองและข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเยี่ยนหลินทันที
…
ภายในป่าทึบบนภูเขาอันเงียบสงบ มีเพียงเสียงของใบมีดที่กำลังเสียดสีกับก้อนหินดังชัดเจนไปทั่วบริเวณ และด้วยการใช้แรงของนาง จึงเกิดประกายไฟขึ้นทุกครั้งที่ขัดมัน ก่อนที่ประกายไฟนั่นจะเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนจากสีส้มเหลืองในตอนแรก เป็นสีน้ำเงินจางๆ
เมื่อสีของประกายไฟที่ระเบิดออกมาตรงปลายกระบี่นั้น ชัดเจนเสมือนสีผิวของทารกแรกเกิด ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หมุนเปลี่ยนอีกด้านหนึ่ง และเริ่มทำซ้ำขั้นตอนก่อนหน้า
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มปฏิบัติตามตารางประจำวันเฉกเช่นวันก่อนๆ ที่ตอนกลางวันฝึกฝนอยู่บนเขาชิงหยวน และคอยไปดูแลสวนสมุนไพร ส่วนตอนกลางคืนก็จะขึ้นมาลับคมกระบี่บนยอดเขาเยี่ยนหลิน
หรงซิวเองก็ดูเหมือนจะยุ่งๆ อยู่เช่นกัน เพราะเขามาหานางแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว และก็รีบขอตัวจากไป
ซึ่งฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ เนื่องจากอีกใจก็กำลังจดจ่ออยู่กับกระบี่เทพเมฆาสำริดด้วย
เวลาเพียงหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตา วันแห่งการประชุมสำนักวิชาก็มาถึง