ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 622 ดึงดูด!
ตอนที่ 622 ดึงดูด! [รีไรท์]
ผู้คนจากสำนักอื่นล้วนทำหน้าสลดและสิ้นหวัง
เพราะนอกจากชงซูเก๋อแล้ว อีกสามสำนักที่เหลือนั้นแข็งแกร่งเหนือคณา และโอกาสที่พวกเขาจะชนะก็มีน้อยมาก
ในใจของพวกเขาได้แต่นึกอิจฉาพันธมิตรเก้าดาราที่ได้เลือกก่อน แต่ก็คัดค้านอันใดไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง สำนักวิชาที่เหลือก็ได้ทำการจับคู่ท้าชิงกันเสร็จสรรพ
สำนักภูเขาเขี้ยวมังกร คู่กับ สำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์
สำนักกระบี่เมฆาม่วง คู่กับ สำนักนิมิตสวรรค์
สำนักเสวียนเฟิ่ง คู่กับ สำนักหลิงอวิ๋นจง
ทั้งแปดสำนักถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม และถูกจัดให้กระจายตัวออกไป “สี่” ด้าน ตามลักษณะพื้นที่ของแอ่งสี่ทิศแห่งนี้
ซึ่งแม้ว่าตรงกลางของแอ่งกว้างนี้จะกลายเป็นแนวหุบเขาที่ดูลึกชัน ทว่าคนจากทุกสำนักก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ผู้ชมสามารถเลือกมองการต่อสู้ของฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้อย่างอิสระ และสามารถเคลื่อนตัวย้ายไปยังสนามประลองที่ต้องการชมได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าสนามประลองระหว่างชงซูเก๋อ พันธมิตรเก้าดารานั้น ย่อมดึงดูดผู้คนได้มากที่สุด
กระทั่งผู้ชมทุกคนหาที่นั่งของตนได้แล้ว บางคนถึงได้พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“…น่าแปลก ฉู่หลิวเยว่กับเชียงหว่านโจวไม่ได้มาด้วยรึ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเงาของสองคนนั้นในกลุ่มลูกศิษย์ของชงซูเก๋อเลย?”
“หือ? เจ้าพูดถูก! พวกเขาไม่ได้มาจริงๆ”
“ไม่ได้สิ…วันนี้ชงซูเก๋อพาศิษย์มาน้อยคน และกว่าจะมีต้นอ่อนมากสรรพคุณเช่นนี้หลุดเข้าไปในชงซูเก๋อ ก็ถือว่ายากยิ่งนัก แต่พวกเขากลับไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
จากหนึ่งเสียงเป็นสิบเสียง จากสิบเสียงเป็นร้อยปากว่า
ไม่นานข่าวลือเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวไม่ได้มาเข้าร่วม ก็แพร่กระจายเป็นวงกว้าง
แต่ถ้าอิงตามหลักเหตุผล การที่สำนักวิชานั้นไม่ได้พาศิษย์มาทั้งสำนัก ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผู้ชนะอันดับหนึ่ง และอันดับสอง จากงานหมื่นทูรอย่างฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจว ก็ย่อมทำให้ผู้คนสงสัยอย่างปฏิเสธไม่ได้
น่าแปลกที่พวกเขาไม่มา น่าสงสัยสุดๆ
เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบ และบทสนทนารอบตัว เย่หรานหร่านก็รีบดึงแขนเสื้อของลู่เจือเหยายิกๆ และกระซิบถามอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่ลู่ เจ้าว่า ฉู่หลิวเยว่กับเชียงหว่านโจวจะมาหรือไม่?”
ลู่เจือเหยาลดเสียงลง
“ศิษย์น้องชายบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าจะรอมาพร้อมศิษย์น้องหญิง? พวกเขาต้องมาได้อยู่แล้วสิ? ช่วงนี้ศิษย์น้องหญิงมักจะวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเยี่ยนหลิน เหมือนขึ้นไปเพื่อลับคมกระบี่…”
อาวุธสมัยโบราณที่พวกเขาใช้นั้น ส่วนมากจะเป็นอาวุธที่ถูกซื้อมา อาวุธที่ท่านอาจารย์มอบให้บ้าง หรือไม่ห็เป็นสิ่งที่พวกเขาได้มาโดยบังเอิญเสียมากกว่า
ส่วนกระบี่ที่ลับคมเองกับมือนั้น…แทบหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เย่หรานหร่านเอ่ยถามอย่างกังวล
“ขอให้พวกเขามาได้จริงๆ เถอะ…พวกพันธมิตรเก้าดาราตามกัดเราไม่ปล่อยเลย แน่นอนว่าครั้งนี้ พวกนั้นก็คงไม่ปล่อยเราไปแน่ๆ”
ไม่ว่าจะคิดอย่างใด ใครใครก็ดูออกว่าสำหรับงานประชุมสำนักคราวนี้ กลุ่มพันธมิตรเก้าดาราตั้งใจมาเพื่อชิงตำแหน่ง และดึงชงซูเก๋อออกจากหนึ่งในสี่สำนักวิชาหลักแน่นอน!
ลู่เจือเหยาเหลือบมองคนจากสำนักพันธมิตรเก้าดารา พลันเอ่ยเสียงเย็น
“ข้าจำได้ว่าคนที่กลั่นแกล้งเจ้าในสวนซินหลี่ครานั้น เป็นศิษย์ของพันธมิตรเก้าดารา?”
เย่หรานหร่านพยักหน้ารับ แล้วยกมือขึ้นชี้
“คนนั้น ผู้ชายผอมสูงชุดเขียวกับผู้หญิงชุดม่วงที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน…”
ลู่เจือเหยาพยักหน้าตอบ
“วางใจเถิด ครั้งนี้พวกเรา…จักต้องชนะแน่นอน! และพอถึงเวลา ข้าจักทำให้พวกนั้นรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเอง”
…
บทสนทนามากมายยังคงดำเนินต่อไป
คนจากชงซูเก๋อและพันธมิตรเก้าดาราต่างยืนเผชิญหน้ากันคนละฝั่ง โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางขนาดใหญ่ไว้
พวกเขาถูกห้อมล้มไปด้วยผู้ชมที่มายืนดูการประลองด้วยความตื่นเต้น
จางหัวและอวี้ฉือซงจ้องหน้ากันจากระยะไกล พลันบรรยากาศรอบด้านก็ตึงเครียดขึ้นมาทันตา
“กฎการแข่งขันยังคงเหมือนเดิม โดนแบ่งกลุ่มเป็นการประลองของเซียนหมอ ปรมาจารย์และนักรบ! ในการประลองแต่ละเภท ทุกสำนักวิชาจะต้องส่งศิษย์ออกมาเก้าคน หากชนะก็จะได้หนึ่งคะแนน แพ้ก็จะโดนหักหนึ่งแต้ม และหากเสมอก็จะเท่ากับศูนย์ หลังจากสิ้นสุดการประลองของผู้เข้าแข่งขันทั้งยี่สิบเจ็ดคน เราจะตัดสินตามคะแนนรวม ฝั่งใดได้คะแนนมากที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะการประลอง!”
จางหัวกวาดตามองศิษย์ของชงซูเก๋ออย่างประเมิน พลันหัวเราะเย้ยหยัน
“อวี้ฉือซง ชงซูเก๋อของพวกเจ้าในตอนนี้มีศิษย์อยู่ถึงยี่สิบเจ็ดคนด้วยหรือ?”
ใครๆ ก็รู้ว่าชงซูเก๋อในปัจจุบันนั้นตกต่ำเพียงใดรวมๆ แล้วอาจจะมีสาวกอยู่เพียงสิบกว่าคนด้วยซ้ำ
นอกจากคนที่ต้องอยู่ดูแลสำนัก เกรงว่าศิษย์ที่เหลือทั้งหมดที่มาได้ ก็คงจะมีเพียงเท่านี้!
“พอพูดแล้ว ข้าก็รู้สึกอิจฉาพวกเจ้าแทนศิษย์ของข้าจริงๆ ที่พันธมิตรเก้าดาราของเรา ไม่เพียงแต่ต้องวัดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมการประลอง ทว่าแม้แต่จะขอมาชมสถานที่การแข่งขัน เหล่าศิษย์ของข้าก็ยังต้องต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์นี้ ไม่เหมือนกับสำนักเล็กๆ อย่างชงซูเก๋อของพวกเจ้า ที่ขอแค่ยังมีแขนมีขาอยู่ครบ ก็สามารถเข้าร่วมประลองได้…”
ดวงตาของอวี้ฉือซงทอแสงเย็นวาบ
“เรื่องบางเรื่องพูดมากไปก็ใช่ว่าจะดีต่อตัว หากวันนี้พวกเจ้าแพ้ให้กับกลุ่มเล็กๆ ของพวกข้า…คงเป็นภาพที่น่าเกลียดน่าดู? หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว…เริ่มเลยดีกว่า!”
…
ขณะเดียวกัน ณ ยอดเขาเยี่ยนหลิน
บนยอดเขาที่สูงชัน มีศิลาดวงดาวสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนนั้น
พร้อมกับหญิงสาวร่างเพรียวในชุดคลุมสีแดง ที่กำลังนั่งไขว่ห้างลับคมกระบี่อยู่ด้านบน
มือข้างหนึ่งของนางจับด้ามกระบี่ไว้ แล้วใช้มืดอีกข้างกดใบมีด แล้วบดมันกับศิลาอย่างต่อเนื่อง
นางสีขัดใบมีดตั้งแต่โคนด้ามจนถึงปลายกระบี่อยู่แบบนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ท่าทาง หรือความแข็งแกร่งที่แผ่กระจายออกมา…
ล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ทุกครั้งที่นางกด และออกแรงขยับให้กระบี่เสียดสีกับศิลา ก็มักจะเกิดประกายไฟเล็กๆ ขึ้น
นางดูจริงจังมาก ดวงตาของนางจับจ้องไปยังกระบี่ในมือไม่วางตา ราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น
อันที่จริง นางไม่ได้นอนเลยทั้งวันทั้งคืน
ตั้งวันแรกที่เริ่มลับคมกระบี่ นางก็สังเกตเห็นว่าครึ่งหนึ่งของแก่นวิญญาณนั้นได้หลอมตัวขึ้น และปรากฏออกมาให้เห็นบ้างแล้ว
และถ้านางทำสำเร็จ ก็จะถือว่านางลับคม หลอมกระบี่แก่นวิญญาณของปรสิตทองแดงได้อย่างลุล่วง!
สีของประกายไฟค่อยๆ เปลี่ยนไป
เฉดสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นทีละน้อย มันหนาขึ้น และค่อยๆ เพิ่มความเข้มขึ้น จนใกล้เคียงกับสีต้นตำหรับของกระบี่
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทว่าขณะที่นางเคลื่อนไหวอีกครั้ง เปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ทอแสงวาววับ
สำเร็จแล้ว!
พลันเสียงขององค์ไท่จู่ก็ดังขึ้นในหัว
“สาวน้อย! เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะใช้ทัณฑ์สวรรค์แล้ว!”