ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 627 ลงมาหาข้า!
ตอนที่ 627 ลงมาหาข้า!
เขามีชีวิตอยู่มานานหลายปี และได้เห็นทั้งคนต้องจบชีวิตเพราะถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าใส่ตรงๆ รวมทั้งคนที่ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เพราะไปท้าทายพลังของมัน และเขายังได้เผชิญกับความแข็งแกร่งของทัณฑ์สวรรค์อันน่ากลัวมาแล้วกับตัว แต่สุดท้ายเขาก็ผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น
แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่เผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ แถมยังเป็นผ่านบุกเองเช่นนี้มาก่อนเลย
เรื่องนี้มันผิดแปลกเกินไปแล้วนะว่าไหม?
เมื่อครู่เด็กคนนั้นยังทำท่าหมดแรงจากการรองรับอสนีบาตสองสามสาย จนแทบจะยอมแพ้อยู่เลยนะ?
เหตุใดเพียงพริบตา เหตุการณ์ถึงได้กับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้?
เมื่อเห็นว่าพลังของทัณฑ์สวรรค์ ที่หนีไปทุกทิศทุกทางถูกเปลวเพลิงสีแดงกลืนกินโดยไม่ลังเล องค์ไท่จู่ก็ตกอยู่ในความสับสน เท้าข้างหนึ่งที่ก้าวออกไปก็เมื่อครู่ เริ่มลังเลว่าจะก้าวต่อหรือจะถอยหลังดี
หรือว่าเขา…
จะตาฝาด?
แต่เลือดบนร่างของฉู่หลิวเยว่นั้นเป็นของจริงที่เขาไม่คิดว่าตัวเองตาฝาดแน่นอน อีกทั้งรอยแผล และคราบเลือดนับไม่ถ้วนบนแขนทั้งสองข้างของนาง ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากตรงนี้อีก
เมื่อครู่นางกำลังจะตายจริงๆ…หรือเป็นเขาที่โง่เกินไป และไม่รู้เองว่าบนโลกนี้ก็ยังมีวิธีจัดการกับทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้ด้วย?
ขณะที่องค์ไท่จู่ตกอยู่ในความงุนงง ฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยึดพลังทั้งหมดของทัณฑ์สวรรค์สายที่สิบเก้าไปแล้ว และถ่ายเทพลังทั้งหมดลงในกระบี่เทพเมฆาสำริด
ยามเห็นแสงสีเงินไหลผ่านออกมาจากใบมีด ฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมปากของนาง
หากพูดตามพื้นฐานพลังปราณของในปัจจุบันของนางแล้ว มันถือเป็นเรื่องยากมากที่นางจะทนต่อพลังของทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นได้
นอกเสียจากว่า…มันไม่ได้มีแค่พลังของนางผู้เดียว?
ภายในร่างกายของนาง นางระดมพลังจากไข่มุกธารา และเปลี่ยนพลังปราณดั้งเดิมที่พุ่งพล่านให้กลายเป็นเปลวเพลิง ที่ใช้ห่อหุ้มกระบี่เทพเมฆาสำริดแล้วผ่าทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดลงมาออกเป็นสองส่วน…
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นได้อย่างราบรื่น และเป็นอย่างที่นางคิด หากศัตรูแข็งแกร่งเกินกำลัง ก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งที่เสมอภาคเข้าสู้
เพราะอย่างใดเสียทัณฑ์สวรรค์นั่น ก็ไม่เห็นจะมีทีท่าหยุดผ่าง่ายๆ เช่นนี้เหตุใดถึงไม่ลองเสี่ยงดูเล่า
ตอนแรกนางก็แค่จะเดิมพันชีวิตกับความหวังสุดท้ายที่เหลือ แต่คิดไม่ถึงว่าผลที่ได้จะเกินความคาดหมายขนาดนี้ และเหมือนว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้จะดูหวาดกลัวนางไปแล้วด้วย…
พูดให้ชัดคือกลัวอิทธิ์ฤทธิ์ของไข่มุกธาราในร่างนางมากกว่า
เดิมทีนางคิดแค่ว่ารับพลังของทัณฑ์สวรรค์มาก็จบ และไม่ได้คิดว่าในยามที่ลงมือนั้น ทัณฑ์สวรรค์สายนี้จะหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนั้น?
ฟาดลงมาขนาดนี้แล้วยังจะหนีไปเพื่ออันใด?
ฉู่หลิวเยว่จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และใช้กำลังทั้งหมดชิงสกัดความร้ายกาจมันก่อนทันที!
เพราะเหตุนี้ทัณฑ์สวรรค์สายนี้จึงยอมเชื่อฟังนาง และไม่กล้าทำลายพลังภายในของนางอีก
มันก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายของฉู่หลิวเยว่ได้อย่างมาก
พลังที่อ่อนโยนและทรงพลังพุ่งออกมาจากไข่มุกธารา และแผ่กระจายแล่นฉิวไปยังแขนขาและกระดูกของฉู่หลิวเยว่
อาการบาดเจ็บตามร่างกายของนางเริ่มฟื้นตัวอย่างว่องไว ภายใต้การห่อหุ้มของเปลวไฟสีแดงเข้ม แม้แต่บาดแผลที่ผิวหนังบนกายบาง ก็ยังตกสะเก็ดอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในกล้ามเนื้อและกระดูกของนางก็มีพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์มากมายวนเวียนอยู่ สิ่งเหล่านี้ถูกย่อย และแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณของนางเอง ซึ่งเป็นพลังปราณที่มีมวลมหาศาลอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจบาว เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตน
โชคดีที่ยังมีไพ่ตายใบนี้คอยช่วยเหลือกันอยู่…
มิเช่นนั้น นางคงไม่สามารถอดทนต่อการไล่ล่า และสกัดกั้นของทัณฑ์สวรรค์ได้นานขนาดนี้
หลังจากแน่ใจแล้วว่า การหลอมกระบี่เทพเมฆาสำริดด้วยทัณฑ์สวรรค์สายที่สิบเก้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และสภาพร่างกายของนางก็ดีขึ้นแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
เหนือท้องฟ้า มีอสนีบาตสีเงินเหมือนงู แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆสีดำ
มันคือทัณฑ์สวรรค์สายที่ยี่สิบ!
ฉู่หลิวเยว่กระโดดลงไปยืนบนศิลาดวงดาวอีกครั้ง พลางกางขาออกเล็กน้อย และกำกระบี่ในมือแน่น นางจ้องมองมันอย่างตั้งใจ และกลั้นหายใจ
ทว่าหลังจากรออยู่พักหนึ่ง… อสนีบาตสายนั้นกลับไม่ได้ผ่าลงมา
ฉู่หลิวเยว่หันไปมององค์ไท่จู่ด้วยความงุนงง
“องค์ไท่จู่ ท่านบอกว่าทุกขั้นจะประกอบด้วยทัณฑ์สวรรค์เก้าสายมิใช่หรือ? เมื่อครู่ข้าเห็นมันโผล่ออกมาจากเมฆแล้ว แต่ตอนนี้เหตุใดมันถึงไม่ผ่าลงมากัน?”
องค์ไท่จู่ขมวดคิ้วขณะมองไปยังทัณฑ์สวรรค์ที่ลอยอยู่ในเมฆอย่างต่อเนื่อง
“คงต้อง…รออีกครู่หนึ่งกระมั้ง”
สายที่สิบเก้าผ่าลงมาแล้ว ถ้าสายต่อไปไม่ยอมผ่าลงมา มันย่อมไม่สมเหตุสมผล?
อีกทั้ง อสนีบาตสายที่ยี่สิบ ก็ก่อตัวควบแน่นขึ้นมารอแล้วด้วย…
…
ผ่านไปพักหนึ่ง
และก็ผ่านไปอีกเพลา
บรรยากาศรอบข้างเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ
จนฉู่หลิวเยว่อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้
“องค์ไท่จู่ นี่ก็ผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว ไฉนมันถึงนิ่งค้างแบบนั้น?”
องค์ไท่จู่ยกมือขึ้นกอดอก แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบคาง จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
ความจริงแล้ว…ในใจเขาก็พอเดาสถานการณ์ได้บ้าง
แต่สิ่งที่เขาเดานั้นดูเลวร้ายเกินไป เมื่อมันโผล่ขึ้นมาในหัวของเขา เขาจึงรีบปัดมองออกไปจากห้วงความคิด
ทว่าตอนนี้ ยิ่งมองดู สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าก็ยิ่งแย่ลง…
“อันที่จริง…ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…”
ฉู่หลิวเยว่ขยับข้อมือของนางเบาๆ
“เช่นนั้นก็รอต่ออีกหน่อยแล้วกัน แผลบนตัวข้าใกล้สมานกันแล้ว”
องค์ไท่จู่ “…”
เขาเงยหน้ามองไปยังอสนีบาตสีเงินอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่ควบแน่นเป็นเส้นพร้อมฟาดผ่าแล้ว เหตุใดจึงหยุดชะงักกันเล่า?
มัวแต่ห้อยอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา จะไปมีประโยชน์อันใด?
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องมาเร่งเร้าให้ทัณฑ์สวรรค์ตกลงมาแบบนี้
ท่ามกลางบรรยากาศที่แปลกประหลาด ฉู่หลิวเยว่รออยู่พักหนึ่ง และในที่สุด นางก็เริ่มความกระวนกระวายใจขึ้นมา
ทันใดนั้น นางก็กลั้นหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วเหยียดลงบนศิลาดวงดาว และกระโจนขึ้นไปในอากาศ!
ขณะเดียวกันก็กำชับกระบี่เทพเมฆาสำริดที่อยู่ในมือ!
เมื่อปลาบกระบี่ตวัดออกไป ก็พลันเกิดรอยแยกและช่องว่างสีดำบนความว่างเปล่านั่น!
เปลวเพลิงลุกโชนทำให้อุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้นทันที!
และดูเหมือนว่าทัณฑ์สวรรค์ที่แล่นริ้วอยู่ในกลุ่มเมฆจะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวนี้ ก่อนจะรีบแหวกว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว!
หากมองจากระยะไกล จะเห็นว่ามันดูร้อนรนเพียงใด
ทว่าองค์ไท่จู่กลับยิ่งสับสนกว่าเดิม
ดูเหมือนสิ่งต่างๆ จะดำเนินไปในทิศทางที่แปลกมากขึ้นเรื่อยๆ…
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ยกกระบี่ขึ้น
รัศมีลมปราณที่กว้างใหญ่พุ่งออกมาจากตัวกระบี่อย่างบ้าคลั่ง
องค์ไท่จู่ตกตะลึงอย่างหนัก
พลังภายในของฉู่หลิวเยว่และกระบี่เล่มนั้นแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
เพียงพริบตา เปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกไปและกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทัณฑ์สวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในเมฆสัมผัสได้ถึงอันตราย มันหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเจาะเข้าไปในส่วนลึกของกระแสแห่งความผันผวนสีดำ
ดวงตาขององค์ไท่จู่กระตุกสองสามที
เจ้าทัณฑ์สวรรค์นั่นคิดจะหนีอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีแดงก็เร่งความเร็วขึ้น และไล่ตามทัณฑ์สวรรค์นั่นไปติดๆ
และในจังหวะนั้นเอง ก็มีลำแสงเจิดจ้าสายหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งสารทิศ
“ลงมาหาข้าเดี๋ยวนี้”