ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 629 ยังไม่มาอีกหรือ
ตอนที่ 629 ยังไม่มาอีกหรือ
องค์ไท่จู่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ยะ…อย่างนี้ก็ได้ด้วยรึ?
เด็กนี่จะแข็งแกร่งเกินไปหรือเปล่า
มีใครที่ไหนยืนชี้กระบี่ “ด่า” ทัณฑ์สวรรค์แบบนี้กัน
แต่ทัณฑ์สวรรค์สายที่ยี่สิบเอ็ดกลับโผล่ออกมาจริงๆ และหลังจากที่มันปรากฏขึ้น มันก็ผ่าลงมาอย่างรวดเร็ว แทบไร้ซึ่งความลังเลใดใด
ฉู่หลิวเยว่ยืดตัวขึ้น แล้วยื่นกระบี่ออกไป
บนผิวหน้าของกระบี่เล่มงาม เปลวเพลิงกำลังแผดเผาอย่างดุเดือด! เผยให้เห็นเจตจำนงที่น่าเกรงขามของกระบี่เล่มนั้น
วินาทีต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็กระโดดขึ้นไปบนอากาศ และปะทะกับทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังอึกทึก และลำแสงสีเงินที่กระเด็นไปทุกสารทิศ พร้อมทั้งมวลของพลังปราณที่กระจายไปทั่ว
ฉากเดิมๆ ที่เคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง วนกลับมาฉายอีกรอบหนึ่ง
แต่คราวนี้ฉู่หลิวเยว่สามารถเรียกทัณฑ์สวรรค์ได้ โดยที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
เมื่อลำแสงสีเงินไหลเข้าสู่ตัวกระบี่เทพเมฆาสำริดจนหมด ทัณฑ์สวรรค์อีกสายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง พลางกระตุกยิ้มมุมปาก
“ออกมาเร็วแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
จะได้รีบทำรีบเสร็จ
องค์ไท่จู่ “…”
เขาเริ่มรู้สึกว่า ความกังวลในตอนแรกนั้นดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว
ไม่สิ ไม่จำเป็นเลยสักนิดต่างหาก
…
ณ แอ่งสี่ทิศ
ครึ่งแรกของการประลองผ่านไป และกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ตึงเครียดที่สุด
การแข่งขันของทั้งสี่สนามนั้นรุนแรงมาก
แต่สนามของชงซูเก๋อกับพันธมิตรเก้าดารานั้น เรียกว่าได้เป็น “โศกนาฏกรรม” เลยก็ว่าได้
“ตู้ม!”
บนลานประลองศิลปะการต่อสู้ ร่างของใครบางคนกระเด็นออกมา และกระแทกพื้นอย่างแรง จนร้องครางด้วยความเจ็บปวด
“การประลองประเภทนักรบครั้งที่หก เพ่ยชางจากพันธมิตรเก้าดารา เป็นฝ่ายชนะ!”
ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องที่ดังกังวาน
ผู้ชมแต่ละคนล้วนมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็เริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างเมามัน
“การประลองครั้งนี้กลายเป็นชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรเก้าดาราอีกครั้ง ในการประลองหกครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาชนะห้าครั้งติด! สาวกของพันธมิตรเก้าดารานั้นแข็งแกร่งอันใดเยี่ยงนี้!”
“ดูจากแนวโน้มแล้ว สิ่งที่ชงซูเก๋อหวั่นเกรงคงได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ…ข้าคิดว่าพวกเขาสามารถดึงเกมในการแข่งขันเซียนหมอได้ แต่ในการประลองเจ็ดครั้ง จนถึงตอนนี้ พวกเขาชนะสามครั้ง แพ้สองครั้ง เสมอสองครั้ง…มันไม่นับว่าได้เปรียบเลยสักนิด…”
“ไม่เพียงแค่นั้น ในการประลองประเภทของปรมาจารย์ ดูเหมือนพวกเขาจะแพ้ไปหลายครั้งเลยนะ? นับดูแล้ว ตอนนี้ชงซูเก๋อตามหลังพันธมิตรเก้าดาราอยู่ไม่น้อยเลย หากพวกเขาต้องการพลิกเกม การประลองที่เหลือต้องชนะเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้…”
ผู้คนต่างถกเถียงกันเกรียวกราว
กำลังใจของฝ่ายพันธมิตรเก้าดารานั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของพวกเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ท่านผู้นำ สิ่งที่ท่านได้พูดก่อนหน้านี้ไม่เลวเลย ทันทีที่คนเหล่านั้นก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง ชงซูเก๋อก็ไม่มีแรงที่จะสู้กลับแล้ว ขอเพียงปล่อยให้พวกเราผ่อนคลายจากสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราจะต้องได้รับชัยชนะได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านผู้นำจางหัวก็หัวเราะเยาะเย้ย
“นี่มันก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? ชงซูเก๋อนั้นแข็งนอกอ่อนใน ไม่ทันใดก็ไม่ไหวซะแล้ว! แม้ว่าไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้น…พวกมันก็ไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราอยู่ดี ตำแหน่งสี่นิกายที่ยิ่งใหญ่ วันนี้พันธมิตรเก้าดาราจะครอบครองมันเอง”
“ฉลาดหลักแหลม สมกับเป็นท่านผู้นำ”
…
ในอีกฝั่ง สาวกสองคนของชงซูเก๋อรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและประครองชายคนนั้นกลับมา
เย่หรานหร่าน ก้าวไปข้างหน้าด้วยความกังวล
“ศิษย์พี่หลู่ เป็นอย่างใดบ้าง?”
แท้จริงแล้วคนที่เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ก็คือลู่จือเหยา
ลู่จือเหยา เงยหน้าขึ้นและฝืนยิ้ม
“ขะ…ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่นำความพ่ายแพ้ให้กับชงซูเก๋อ ข้าขอโทษพวกเจ้าทุกคน…”
ใบหน้าของเขาซีดมาก มุมปากและทรวงอกของเขาล้วนเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
รอยยิ้มที่ไร้เรี่ยวแรงนี้ดูอ่อนแอและเศร้าหมองยิ่งนัก
อวี้ฉือซงพูดด้วยเสียงทุ้มว่า
“คนๆ นั้นศักยภาพไม่ได้อ่อนแอ อีกทั้งฝีมือของเขาร้ายกาจนัก เจ้าแพ้แล้วจะตำหนิตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องโทษตัวเอง”
ลู่จือเหยาเม้มริมฝีปาก แววตานั้นแสดงถึงความละอายใจ ก่อนจะค่อยๆ โน้มศีรษะลง
แม้ว่าเจ้าสำนักเก๋อจะพูดเช่นนั้น แต่ภายในใจของเขาก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้
การแข่งขันประเภทนักรบในห้าสนามแรก พวกเขาชนะเพียงแค่หนึ่งครั้ง ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เขาอยากให้สำนักของเราได้รับชัยชนะในสนามนี้จริงๆ
ทว่าหลังจากต่อสู้อย่างหนักหน่วง เขาก็ยังพ่ายแพ้
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเคราะห์ซ้ำกำซัดตกอยู่ในสถานการณ์รั้งท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปอยู่ข้างกายอวี้ฉือซงอีกครั้ง พลางพูดอย่างลังเล
“เจ้าสำนักเก๋อ ข้ารู้สึกเสมอว่า…ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติกับคนของพวกเขาเหล่านั้น…”
นัยน์ตาของอวี้ฉือซงขยับเล็กน้อย
อันที่จริงเขาก็เห็นมันเช่นกัน
สาวกของพันธมิตรเก้าดาราที่เข้าร่วมการแข่งขันการต่อสู้ เขาเคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
ในการประชุมสำนักวิชาครั้งก่อน ศักยภาพของคนเหล่านี้อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปยังไม่ถึงปี พวกเขาทั้งหมดกลับพัฒนาขึ้นมาก
ความเร็วในการฝึกเช่นนี้ เทียบกับพรสวรรค์ก่อนหน้านี้ของพวกเขา มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกนั้นจะทำได้ขนาดนี้ หลังจากเขาดูการแข่งขันไม่กี่สนาม ในใจก็เริ่มสงสัยถึงปัญหานี้แล้ว
“เจ้าพบหลักฐานหรือยัง?”
ลู่จือเหยาส่ายหัวอย่างนึกเสียดาย
อวี้ฉือซงแอบถอนหายใจ แล้วตบไหล่เขาเบาๆ
“ไม่เป็นไร เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ยังมีการแข่งขันอีกหลายสนามที่จะตามมา ตราบใดที่ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ย่อมไม่มีใครรู้ผลว่าจะแพ้หรือชนะ”
ลู่จือเหยารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอันใดไปมากกว่านี้ และทำได้เพียงถอยกลับไปพักก่อน
เมื่อเขาเดินไปถึงข้างๆ เย่หรานหร่าน เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดมันออกไป
“หรานหร่าน เมื่อถึงคราวเจ้าเข้าลงแข่งเซียนหมอ เจ้าต้องชนะให้ได้!”
เย่หรานหร่านกำหมัดแน่น พร้อมพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อื้อ! คู่ต่อสู้ของข้า ก็คือชายที่หัวเราะเยาะเย้ยข้าในวันนั้น! วันนี้ข้าจะทำให้มันได้เห็นดีกันไปข้าง!”
ความอัปยศอดสูในวันนั้น นางยังคงจำฝังใจ
ลู่จือเหยาลูบหัวนางเบาๆ
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ!”
…
เย่หรานหร่าน เข้าร่วมการแข่งขันเซียนหมอครั้งที่แปด
เมื่อเห็นว่าชงซูเก๋อส่งหญิงสาวหน้ามนดูแล้วอายุราวไม่กี่สิบปีลงสนาม ทุกคนต่างล้วนตกตะลึง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ชงซูเก๋อควรจะส่งคนที่ทรงพลังมากที่สุดออกมาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงหาคนมาประลองมั่วซั่วแบบนี้กันเล่า?
“อันใดกัน! ชงซูเก๋อไม่มีใครแล้วจริงหรือ? นึกไม่ถึงเลยว่าจะส่งเจ้าขึ้นมาประลองกับข้า?”
ชายในชุดน้ำเงินฝั่งตรงข้ามยกมือกอดอก เขามองไปที่เย่หรานหร่านตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
“อันใดกัน ในสวนสวนเทพเนรมิตวันนั้น เจ้ายังไม่เข็ดอีกหรือ ก็เลยตั้งใจมาที่นี่อย่างนั้นรึ?”
อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าชัยชนะของพันธมิตรเก้าดาราได้รับการตัดสินแล้ว แม้แต่สาวกของพวกเขา ล้วนต่างพูดจาได้หยาบคาย
คำพูดและกริยาท่าทางนั้นกำเริบเสิบสานมาก
ทว่าเย่หรานหร่านไม่มีแม้แต่ความโกรธเคือง นางทำเพียงแค่หยิบหม้อต้มโอสถของตนออกมา และพูดออกมาทีละคำว่า
“แค่จัดการเจ้า แค่ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องชวนพี่น้องข้าด้วย?”
สีหน้าของชายชุดน้ำเงินเปลี่ยนไปทันตา
พลันหญิงสาวที่อยู่ข้างสนามประลอง ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า
“เกรงว่าเหล่าพี่น้องเจ้าล้วนต่างรับมือไม่ได้สินะ ก็เลยให้เจ้ามาแทน?”
เย่หรานหร่านค่อยๆ หันหน้าไปดู
ที่แท้คือหญิงสาวที่คิดแย่งที่นั่งของนางในวันนั้น
นางจ้องมองไปที่หญิงผู้นั้นครู่หนึ่ง พลันขยับริมฝีปากพูดออกมาไม่กี่คำด้วยความเย็นชา
“แม้แต่คนที่มีคุณสมบัติจะขึ้นแข่งยังไม่มี แล้วเรื่องเหลวไหลที่คิดเองเออเองทั้งหมดนี้ เจ้าเอามาจากไหนกัน?”
หญิงสาวคนนั้นสำลักออกมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับตับหมูอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้เจอกันนาน สาวน้อยคนนี้กลับปากดีกว่าเดิม!
แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าเด็กนั่นจะพูดอย่างใด มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเขากำลังจะแพ้ได้!
ชายในชุดสีน้ำเงินพูดอย่างใจร้อน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เลิกพูดจาไร้สาระ แล้วมาดูฝีมือของยอดฝีมือตัวจริงกันดีกว่า!”
ด้านล่างสนาม ลู่จือเหยามองไปรอบๆ และอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า
“ศิษย์น้องหญิงและศิษย์น้องชายของข้า เหตุใดยังไม่มากันนะ…”