ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 630 ใครว่าชงซูเก๋อไม่มีคนแล้ว!
ตอนที่ 630 ใครว่าชงซูเก๋อไม่มีคนแล้ว!
ต่อมา ก็เป็นการประลองของนักรบครั้งที่เจ็ด
พันธมิตรเก้าดาราส่งลูกศิษย์ที่เป็นนักรบระดับหกขั้นต้นออกไป
พลันการแสดงออกของคนจากชงซูเก๋อก็ดูดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เพราะในบรรดาศิษย์ของพวกเขาที่ยังไม่ได้ลงสนามประลอง มีนักรบลำดับหกอยู่เพียงคนเดียว แถมยังเป็นขั้นต้นอีกด้วย
ซึ่งหากในอนาคตพันธมิตรเก้าดาวยังเหลือนักรบระดับหกไว้สู้กับพวกเขาอีกละก็ พวกเขาจะเสียเปรียบอย่างมาก…
อวี้ฉือซงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะให้นักรบระดับหกที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวขึ้นไป
จางหัวเหลือบภาพนั้นและพูดช้าๆ ว่า
“ซงเหล่า นี่น่าจะเป็นนักรบระดับหกคนสุดท้ายของชงซูเก๋อสินะ… แสดงว่าสองรอบสุดท้าย พวกเจ้าคงไม่มีตัวแทนส่งไปแล้วละสิ?”
สีหน้าของอวี้ฉือซงยังไม่เปลี่ยนแปลง
“เรื่องของชงซูเก๋อของเรา ไม่จำเป็นที่คนนอกต้องมาใส่ใจแทน”
จางหัวเองก็ไม่เกรี้ยวกราดแต่อย่างใด เขาทำเพียงหัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ
ตอนนี้เขาคิดว่า พวกชงซูเก๋อก็แค่ทำทีดื้อรั้นไปอย่างนั้น
หากการประลองยังคงดำเนินต่อไป โดยพื้นฐานแล้วสถานการณ์โดยรวมก็ได้รับการตัดสินแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอันใด ก็ย่อมไร้ประโยชน์
พันธมิตรเก้าดาราอย่างพวกเขาก็แค่ยืนรอรับชัยชนะเฉยๆ ก็พอ ใยจำต้องใส่ใจกับคำพูดของอวี้ฉือซงด้วยเล่า?
อวี้ฉือซงเอามือไพล่หลัง พร้อมกำหมัดแน่น
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องชายก็เป็นนักรบระดับหกด้วยมิใช่หรือ? ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่นี่คงจะดี…”
“ใช่เลย! ถ้าเขาอยู่ พวกเราคงชนะสักครั้งบ้าง…”
“อันที่จริง ศิษย์น้องหญิงก็ไม่เลวนะ หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง คงไม่สามารถเป็นที่หนึ่งในหมื่นทูรได้ เก่งกว่าศิษย์น้องชายด้วยซ้ำ”
“แต่ยามนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของสองคนนั้นเลย คงไม่มาแล้วกระมั้ง?”
สาวกทุกคนของชงซูเก๋อต่างรู้สึกกังวลเล็กน้อย
หากพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับพันธมิตรเก้าดารา ท้ายที่สุด สถานการณ์ของพวกเขาในเมืองซีหลิงจะเลวร้ายลงอย่างแน่นอน
ทว่าสำหรับตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่รอเท่านั้น…
…
แต่การรอคอยนั้นเป็นเรื่อยยากสำหรับใครหลายคน
ทุกคนในชงซูเก๋อล้วนมุ่งความสนใจไปยังเวทีประลองด้านหน้า
การเผชิญหน้าระหว่างเย่หรานหร่าน และชายในชุดสีน้ำเงิน กระตุ้นความสนใจของผู้คนมากมายตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะนี่เป็นการประลองของเซียนหมอ ก่อนสองรอบสุดท้ายที่จะมาถึง
ใบหน้ากลมของเย่หรานหร่านดูสงบนิ่งและจริงจัง
นางวางมือลงบนหม้อต้มโอสถ พลันเปลวเพลิงสีขาวจำนวนมากก็ลุกซู่ขึ้นทันที
อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงทันตา
ความเย็นเฉียบพุ่งออกมาจากเปลวเพลิงสีขาว
สีหน้าของชายชุดน้ำเงินที่ยืนตรงข้ามนางเริ่มเปลี่ยนไป
เปลวเพลิงแบบนี้…
“เพลิงเหมันต์หรือ?”
ไม่แปลกใจเลยที่สาวน้อยคนนี้จะมั่นใจมาก นั่นเพราะนางมีไพ่เด็ดอยู่ในมือนี่เอง
ลือกันว่าเพลิงเหมันต์อันเย็นยะเยือกนี้มาจากใต้แอ่งน้ำแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเปลวเพลิงธรรมดาทั่วไป เพราะมันมีสีขาวและมีเปี่ยมไปด้วยความหนาวเหน็บ
ทว่ามันกลับเป็นความเย็นที่บริสุทธิ์มาก และมีประโยชน์อย่างมากในการปรุงยา
โดยทั่วไปแล้ว ยาอายุุวัฒนะที่ได้จากเซียนหมอผู้ครอบครองเพลิงเหมันต์นั้น ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่กลั่นโดยเซียนหมอในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
และบางคนก็ถึงกับทำให้ประสิทธิภาพของเม็ดยาธรรมดา เพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับด้วย
ร่องรอยของความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในใจของเขา แต่เขาเก็บสีหน้าได้ดี ก่อนจะถอนสายตาออก และเปลี่ยนพลังดั้งเดิมให้กลายเป็นไฟ แล้วเริ่มเตรียมการต้มยา
เย่หรานหร่านใส่วัตถุดิบที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้อย่างเป็นระบบทีละชิ้น เปลวเพลิงในหม้อต้มโอสถทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด และน้ำยาก็ได้รับการกลั่นในอุณหภูมิที่ต่างกัน
เมื่อเห็นฉากนี้ หลายคนก็แอบประหลาดใจ
เพราะไม่คิดว่าเย่หรายหร่านที่ดูอ่อนเยาว์ จะชำนาญเรื่องการปรุงยาถึงเพียงนี้
ทว่าเมื่อดูจากทักษะของนางแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีพรสวรรค์มากกว่าเซียนหมอทั่วไปเสียอีก
ชายชุดสีน้ำเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ตั้งใจ และสีหน้าของเขาพลันหยุดนิ่ง
เขามองเห็นเต็มสองตาว่าในหม้อต้มโอสถของเย่หรานหร่านนั้น มีการแบ่งส่วนยาออกเป็นสี่ส่วนที่แตกต่างกันไป
แต่นางสามารถควบคุมทั้งหมดนั้นได้ในเวลาเดียวกัน…
ก่อนอื่นเลย เขาเองก็ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้เขาสามารถควบคุมได้เพียงสามส่วนในเวลาเดียวกันเท่านั้น
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงกัดฟันสู้
และแน่นอนว่าหลังจากเห็นสถานการณ์ของฝั่งเขา ผู้คนรอบข้างก็เริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเย่หรานหร่านจะทรงพลังขนาดนี้! ข้าคิดว่าคราวนี้นางอาจจะชนะก็ได้”
“ก็จริงของเจ้านะ? ดูเทคนิคและความสามารถนั่นสิ เห็นได้ชัดว่าเย่หรานหร่านดีกว่าเป็นไหนไหน!”
“เหมือนเย่หรานหร่านจะอายุน้อยกว่าชายคนนั้นเกือบสิบปีเชียวนะ แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ความแข็งแกร่งของชายคนนั้นสู้เย่หรานหร่านไม่ได้ มันเทียบกันไม่ได้จริงๆ…”
“ชงซูเก๋อส่งนางมาเพื่อชนะ!”
บทสนทนาต่างๆ ลอยเข้าเขาทีละเรื่อง ทำให้ชายชุดน้ำเงินรู้สึกหงุดหงิด และอารมณ์ขุ่นมัวเหล่านี้ ย่อมส่งผลต่อสมาธิในการปรุงยา
ไม่นานนัก เนื่องจากความฟุ้งซ่าน เขาจึงต้องเสียวัตถุดิบในการปรุงยาไปอย่างเปล่าประโยชน์
สิ่งนี้ทำให้เขาร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทางกลับกัน ตั้งแต่เริ่มจนจบ ดวงตาของเย่หรานหร่านเอาแต่จับจ้องอยู่ที่หม้อต้มโอสถ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปได้อย่างราบรื่น และชำนาญการ
ระดับของพวกเขามันต่างกันเกินไป
พอเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ พวกคนของพันธมิตรเก้าดาราที่ทำหน้าหยิ่งยโสเมื่อครู่ ก็เริ่มหน้าเสียทีละน้อย
ทางด้านของเย่หรานหร่านนั้นราบรื่นมาก แต่การแข่งขันของนักรบที่อยู่ในสนามถัดไปนั้น ทำเอาหัวใจของเหล่าสาวกชงซูเก๋อเกือบหยุดเต้น
คนสองคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน และก็เป็นอยู่ระดับหกขั้นต้นทั้งคู่ ดังนั้นจึงยากที่จะระบุผู้ชนะได้
พวกเขาโต้ตอบกันไปมา สู้กันไม่หยุด และจากนั้นก็ต้องเผชิญช้ากันตรงๆ
แส้เสียงรอบด้านค่อยๆ เบาลง และในที่สุด หลังจากการประลองเกือบครึ่งชั่วยาม การแข่งขันระหว่างนักรบครั้งที่เจ็ด ก็จบลงด้วยคำว่าเสมอกัน
ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้เลวร้ายอันใด แต่สำหรับชงซูเก๋อในปัจจุบันนั้น กลับดูไม่ค่อยมีค่าเท่าไร
เพราะระหว่างพวกเขากับพันธมิตรเก้าดารายังมีช่องว่างขนาดใหญ่เหลืออยู่ จะให้ผลออกมาเสมอตลอดคงเป็นไปไม่ได้
ชัยชนะเท่านั้นที่ทำให้พวกเขามีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้
ทว่าเหลือการแข่งขันอยู่อีกไม่กี่รายการแล้ว
ถ้าหลังจากนี้พวกเขาแพ้…มันจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดการประลองของเย่หรานหร่านก็จบลง
นางกลั่นยาอายุวัฒนะที่มีระดับที่สูงกว่าของฝ่ายตรงข้าม และนางก็ชนะ
เมื่อได้ยินว่านางเป็นผู้ชนะ ในที่สุดเย่หรานหร่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะนำยาอายุวัฒนะและหม้อต้มโอสถของนางออกไป และรีบวิ่งไปหาอวี้ฉือซงและคนอื่นๆ ใบหน้ากลมมนของนางแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าสำนักเก๋อ ภารกิจลุล่วงแล้ว”
อวี้ฉือซงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ
“เจ้าทำได้ดีมาก ลำบากเจ้าแย่เลย”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเย้ยหยันดังแว่วเข้ามา
“ซงเหล่า ตอนนี้เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ว่าพวกของเจ้าไม่มีโอกาสชนะแล้ว?”
จางหัวแตะปลายคางของเขา พลางหัวเราะแดกดัน
“นอกจากเย่หรานหร่านที่ชนะการประลองเมื่อครู่แล้ว พวกเจ้ายังตามหลังพวกเราอยู่สามแต้ม แต่เหลืออีกเพียงสี่การประลองสุดท้าย เว้นแต่พวกเจ้าจะชนะ การประลองทั้งสี่นั่น มิเช่นนั้น…เจ้าจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งหนึ่งในสี่นิกายหลักไว้ได้”
เขากวาดตามองเหล่าสาวกของชงซูเก่อ
“ข้าว่า เหตุใดเจ้าไม่ยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้เล่า? ด้วยวิธีนี้ ก็จะมีคนเจ็บน้อยลงไปด้วย? เฮ้อ เดิมทีสาวกชงซูเก๋อก็มีน้อยอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ระวังสูญเสียกำลังไปทีละเล็กละน้อย…เกรงว่าชงซูเก๋อของพวกเจ้าคงไม่เหลือสาวกสักคนให้ใช้งานแล้วกระมั้ง?”
ศิษย์ทุกคนที่ได้ฟังล้วนโกรธเคือง
นี่มันหยามกันเกินไปหน่อยแล้ว
แต่ทันใดนั้น ก็มีแส้เสียงที่ดังชัดเจนและทรงพลังลอยมาจากระยะไกล
“ใครว่าชงซูเก๋อไม่มีคนแล้ว!”