ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 634 ทนต่อความทุกข์ยาก
ตอนที่ 634 ทนต่อความทุกข์ยาก
เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น ทุกคนล้วนหันกลับมามอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้
แท้จริงแล้วนี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาต้องการถาม
ทางด้านเชียงหว่านโจว อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เห็นกระบี่ที่อีกฝ่ายชักออกมา ทว่าในทางของฉู่หลิวเยว่นั้นนางชนะได้เร็วเกินไป!
รู้สึกเหมือนว่ายังมิทันได้เห็นสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ การแข่งขันก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว
นอกเสียจาก นางจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าความสมบูรณ์ของค่ายกลบนแผ่นศิลาสีดำนั้น เกิดจากความสามารถของนางเอง ถึงจะทำให้ปวงชนที่ไม่ได้เห็นมันตั้งแต่ทีแรก เชื่อในอนุภาคค่ายกลของฉู่หลิวเยว่
ซึ่งไม่แปลกที่เหมิงจิงจะถามออกไปอย่างขุ่นเคืองเช่นนั้น
ฝ่าเท้าของฉู่หลิวเยว่หยุดลง หันกลับมามองเขาพริบตาหนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มออกมาราวกับรู้อยู่แล้วต้องเป็นเช่นนี้
“เพราะข้าเก่งกาจอย่างใดเล่า”
เหมิงจิง “…”
ผู้ชมทุกคน “…”
เย่หรานหร่านจับแขนเสื้อของลู่เจือเหยา เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ลู่ การที่หลิวเยว่เป็นเช่นนี้ จักเหมือนว่ากำลังกำเริบเสิบสานนิดหน่อยหรือไม่?”
ลู่เจือเหยาแตะไปที่มุมปาก
นี่เรียกว่า “นิดหน่อย” เสียที่ไหนกัน
มันช่างเด่นชัดจนแทบนำคำว่า “กำเริบเสิบสาน” ไปเขียนอยู่บนใบหน้าแล้ว!
แต่ทว่า…แท้จริงแล้วนี่มันคือเรื่องบ้าบออะไรกัน?
“กำเริบเสิบสานแล้วอย่างไรเล่า ศิษย์น้องหญิงเพิ่งพูดไปมิใช่หรือ ผู้ชนะมิกำเริบเสิบสาน แล้วจะให้ผู้แพ้บุ่มบ่ามขึ้นมาอย่างนั้นหรอกหรือ? คนจากสำนักพันธมิตรเก้าดาราเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่ เดิมทีก็มิได้เห็นพวกเราอยู่ในสายตา! ตอนนี้ศิษย์น้องหญิงจะมาสั่งสอน ก็ถือว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองก็แล้วกัน”
ตั้งแต่การประชุมสำนักได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็ถูกกดขี่มาโดยตลอด รู้สึกอึดอัดใจเจียนตายอยู่แล้ว
ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสได้แว้งกัด แน่นอนว่าพวกเขาจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างดี
ได้ยินคำกล่าวของเขาแล้ว เย่หรานหร่านก็พยักหน้าราวกับคิดเห็นตรงกัน
“คำพูดของศิษย์พี่ลู่ช่างมีเหตุผล มิได้กล่าวถึงเหมิงจิงผู้นั้น แต่เป็นปรมาจารย์ผู้อัจฉริยะที่มีความโดนเด่นของสำนักพันธมิตรเก้าดาราใช่หรือไม่ ผลลัพธ์คือ แค่ขึ้นมาก็พ่ายแพ้ให้กับหลิวเยว่เสียแล้ว คิดไปคิดผู้นำคนนั้นก็มิได้เก่งกาจอย่างที่โอ้อวดไว้เลย”
“ชิ การแข่งขันเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเองรึ? ข้ามีเห็นจำได้เลย ยังดีที่เหมิงจิงผู้นั้นยังมิได้นั่งลง มิเช่นนั้นหากเพิ่งนั่งลงแล้วต้องลุกขึ้นยืน คงอับอายขายขี้หน้าไม่น้อย”
“แพ้แล้วก็ถือว่าจบสิ คิดไม่ถึงว่าจะใส่ร้ายหลิวเยว่เพียงนี้ คนมากมายที่อยู่ตรงนี้ล้วนมองเห็น หรือว่าทุกท่านโดนครอบงำให้เข้าใจผิดทั้งหมด มีแค่เขาเพียงผู้เดียวที่ตาสว่างอย่างนั้นหรือ?”
“จากที่ข้าดูแล้ว มิใช่ถูกครอบงำหรอก หากแต่มีจิตใจที่ต่ำทรามเกินไปต่างหากเล่า”
“ศิษย์น้องก็เก่งกาจนัก! เพียงกระบี่สองด้ามก็จัดการคนได้แล้ว! เป็นนักรบระดับหกเหมือนกัน เหตุใดความแตกต่างจึงมากเพียงนี้เล่า?”
เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายของสำนักชงซูเก๋อเริ่มเปิดปากพูดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน และกล่าวในสิ่งที่ตนปรารถนาออกมาอย่างเต็มที่ ทว่าคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ ทำให้เหมิงจิงถูกด่าทออย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง
แม้จะเป็นสำนักพันธมิตรเก้าดาราก็มิรอดพ้น
ใครบอกให้เหมิงจิงเป็นคนของพวกเขากันเล่า?
ก่อนหน้านี้สำนักพันธมิตรเก้าดารากระแทกทั้นกระทั้นพวกเขาต่างๆ นานา แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถลืมตาอ้าปากได้แล้ว!
…
เหมิงจิงเกือบจะล้มหมดสติลงไป
ท้ายที่สุดจางหัวก็ทนฟังมิไหว ตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“มัวอ้ำอึ้งอันใดกันอยู่ ยังไม่รีบกลับมาอีกหรือ!?”
แค่นี้ยังขายหน้าไม่พออีกหรืออย่างใด?
เหมิงจิงตกใจตื่นอย่างฉับพลัน ก่อนจะคิดถึงเรื่องที่ตนแพ้พ่ายแก่การแข่งขันครั้งนี้ สิ่งเดียวที่ท่านผู้นำนั้นหวั่นเกร่งก็คือ…
เขาใช้ความรวดเร็วในการมองจางหัวเพียงปราดเดียว และก็เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
เขาก้มศีรษะลงและเดินกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าของจางหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
“ท่านผู้นำโปรดอภัยโทษ ลูกศิษย์ไร้ความสามารถ…”
“ในเมื่อรู้ว่าไร้ความสามารถก็รีบไสหัวไปเสีย! อย่ามาขวางหูขวางตาที่นี่!”
ขณะนี้จางหัวกำลังหัวเสียอย่างรุนแรง คำพูดที่กล่าวออกมา แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่มิเสนาะหูเป็นที่สุด
เหมิงจิงหน้าแดงสลับขาว
เขาไม่เคยถูกตำหนิต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้มาก่อน…
เขาคอตก และแบกรับความรู้สึกภายในใจที่เอ่อล้น แล้วถอยหลังกลับไป
“…รับทราบ”
สำนักพันธมิตรเก้าดารามิมีผู้ใดเอ่ยพูด และพร้อมใจกันเงียบเสียงลงอย่างรวดเร็ว
มีผู้คนจำนวนมิน้อยที่แอบมองเหมิงจิงด้วยสีหน้าที่แตกต่างหลากหลาย
หากผู้อื่นแพ้ก็คือแพ้ ทว่าเหมิงจิง… เขาแทบจะเป็นปรมาจารย์ที่อยู่ในระดับสูงสุดของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ในสำนักพันธมิตรเก้าดาราอยู่แล้ว แต่เขาแพ้ให้กับฉู่หลิวเยว่…ช่างแปลกยิ่งนัก
ทว่าเหตุการณ์ในการแข่งขันเมื่อครู่ พวกเขาก็เห็นมันอย่างชัดเจน
ฉู่หลิวเยว่คือผู้ชนะจริงๆ
นี่มัน…จะถือว่ามีปีศาจก็มิได้
ด้วยความรวดเร็ว ลูกศิษย์อีกหนึ่งคนที่พ่ายแพ้ให้กับเชียงหว่านโจวก็กลับมาอย่างเศร้าหมอง
ลมปราณทั่วทั้งเรือนร่างของจางหัวเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
แพ้ให้กับการแข่งขันครั้งที่สองอย่างต่อเนื่อง จิตใจของผู้ใดก็มิอาจสู้ดีทั้งนั้น!
และยังแพ้ได้อย่างไร้ข้อกังขาถึงเพียงนี้!
เขามองไปยังสองคนที่เหลือซึ่งกำลังก้าวไปยังสนามรบ
“นี่เป็นสองครั้งสุดท้าย ต้องชนะเท่านั้น ห้ามพ่ายแพ้เด็ดขาด! ได้ยินหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้สำนักชงซูเก๋อตามหลังพวกเขาอยู่สามคะแนน แต่ตอนนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ไต่เต้าตามมาสองคะแนน
ถ้าหากสำนักชงซูเก๋อชนะครั้งนี้อีก ก็จะถือว่าเสมอกัน!
และหากพวกเขาชนะสองครั้ง… ก็จะพลิกจากแพ้กลายเป็นชนะได้อย่างแท้จริง!
เขาจะไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!
“ถ้าหากพ่ายแพ้…พวกเจ้าคงรู้ผลที่ตามมาภายหลัง!”
ทั้งสองคนตื่นตระหนก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งขึ้นมาโดยทันควัน
“ลูกศิษย์รับทราบ!”
…
ฉู่หลิวเยว่เดินไปอยู่ข้างกายเชียงหว่านโจว เห็นว่าเขายังคงขัดกระบี่อยู่ สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง แทบไม่มีความรื่นรมย์อยู่เลย
“เสี่ยวโจว ชนะการแข่งขันแล้ว เจ้าไม่มีความสุขหรือ?”
ถึงชายผู้นั้นจะสู้เชียงหว่านโจวไม่ได้ แต่เขาก็เป็นถึงนักรบระดับหก และชัยชนะในครั้งนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดียิ่ง
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่เขา พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยด้วยความหยอกล้อ
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าอารมณ์เสียเพราะแพ้ข้าหรอกนะ?”
ในที่สุดเชียงหว่านโจวก็หยุดการกระทำของมือตนเอง พลันช้อนตามองนาง
“ไม่ใช่”
ใบหน้าละอ่อนงดงามปรากฏสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“…เขาทำให้กระบี่ของข้าเปรอะเปื้อน”
ฉู่หลิวเยว่ตะลึงงัน หลังจากนั้นจึงตอบสนองกลับมา
ที่เขาไม่ดีใจ เป็นเพราะว่า…เมื่อครู่กระบี่เมฆาสำริดเปื้อนเลือดของคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
“แต่มันก็แค่กระบี่ สุดท้ายแล้วก็ต้องเปรอะเลือดมิใช่หรือ?”
เชียงหว่านโจวเงียบไม่โต้ตอบ
มันคือกระบี่ที่นางอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อหลอมมันให้เขาเชียวนะ
ภายนอกถึงเขาจะดูนิ่งๆ แต่แท้จริงแล้ว เขาให้ความสำคัญต่อมันมากๆ
นี่เป็นเหตุว่าทำไมตอนแรกเขาถึงไม่ยอมฟันโดนร่างของชายคนนั้น
แต่สุดท้ายมันก็ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
เลือดของคนเช่นนั้น ไม่มีคุณสมบัติที่จะมาสัมผัสกระบี่เล่มนี้ตั้งแต่แรก
เขาขัดกระบี่อีกครั้งด้วยความดื้อรั้น หลังจากนั้นถึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำออกมา
“ทว่าเจ้าทนต่อความทุกข์ยากเพื่อกระบี่เล่มนี้”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ถูกปลอบประโลม
“เสี่ยวโจว กระบี่เล่มนี้ข้ามอบมันให้เจ้าตั้งแต่แรก พอเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้ ข้าก็รู้สึกว่ามันคุ้มแล้ว ที่ข้ายอมอดทนหลอมมันจนสำเร็จ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของฉู่หลิวเยว่ จิตใจของเขาก็เกิดสั่นไหวอีกครา
เขาพยายามอดทน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“เด็กน้อย คนที่อดทนต่อความยากลำบากมากที่สุดน่ะ คือเจ้ามิใช่หรือ?”
มิเช่นนั้นนางจะทนสู้กับทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นได้อย่างใด?