ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 639 การประลองครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 639 การประลองครั้งสุดท้าย
แสงที่เหมือนดวงดาวนั้นสว่างไสวและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลัง
มันแตกกระจายออกอย่างเงียบเชียบ
พลันครึ่งนิ้วที่กำลังจะหายไปก็ถูกห่อหุ้มด้วยริ้วแสง และกลายเป็นรอยฝ่ามือ
ก่อนที่รอยฝ่ามือนั่นจะแตะลงที่ยันต์เก้าวิญญาณยมโลกอย่างแผ่วเบา
ครืน!
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้น!
จากนั้นยันต์เก้าวิญญาณยมโลกก็เริ่มละลายในทันที ราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ!
ของเหลวที่ฝังตัวอยู่ในเชือกสีเลือดเหล่านั้นระเหยอย่างรวดเร็ว จนเชือกทั้งหมดแห้งขอดและเหลือเพียงเส้นบางๆ
ก่อนจะปลิวหายไปกับสายลม!
เซี่ยหลิงหยางตกตะลึงตาโต ราวไม่เชื่อกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เป็นไปได้อย่างใด…
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พละกำลังทั้งหมดของตัวเอง เพื่อขยายขอบเขตพลังปราณให้ขึ้นสู่ระดับหกขั้นกลาง ทว่าเหตุใดยันต์เก้าวิญญาณยมโลก จึงอ่อนแอลงเมื่อเผชิญหน้ากับฉู่หลิวเยว่?
ภายในท่วงท่าการต่อสู้ของนาง…มีทักษะอันใดซ่อนอยู่กันแน่!?
ขณะที่เขากำลังตกตะลึงและมึนงง ยันต์เก้าวิญญาณยมโลกก็ละลายหายไปอย่างสมบูรณ์!
และเหลือไว้เพียงลมปราณที่มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ในอากาศ
นอกจากรอยฝ่ามือที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม ก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือไว้เป็นหลักฐานแล้ว
พลังปราณของโลกและสวรรค์โดยรอบ ดูเหมือนจะค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
ราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น
พรวด!
เซี่ยหลิงหยางกระอักเลือดออกมา และทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว!
ลมปราณในร่างกายของเขาอ่อนลงอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็ถอยกลับไปสู่ขั้นต้นของระดับหก
โลหิตสีเข้มค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากร่างกายของเขา ซึ่งเป็นภาพที่น่ากลัวมาก
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น แล้วรอยฝ่ามือก็สลายไปทันที
ขณะที่กลุ่มแสงกำลังไหลวน รอยแตกของช่องว่างสีดำปรากฏขึ้นรอบๆ
…จากนั้นห้วงอากาศรอบด้านก็ถูกกดขี่โดยพลังที่เหลืออยู่และพังทลายลง
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ พลังปราณดั้งเดิมในร่างกายของนางก็แทบจะหมดลง ริมฝีปากบางซีดลงเล็กน้อย
แต่นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดเกิดขึ้นบนใบหน้าหรือร่างกายของนาง
เมื่อเทียบกับเซี่ยหลิงหยางที่มีสภาพปางตายแล้ว ถือว่าฉู่หลิวเยว่นั้นดูดีกว่ามาก!
ร่างบางถอนหายใจออกมาเบาๆ
ความจริงแล้ว แม้แต่นางเองก็คิดไม่ถึงว่าพลังฝ่ามือเทวดาจะทรงพลังขนาดนี้!
อย่างน้อยมันก็แข็งแกร่งกว่านิภาปลายนิ้วหลายเท่า!
ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ามือเทวดานี้ ยังเป็นท่าที่นางเพิ่งได้ฝึกไปแค่ครั้งเดียว…
หากนางสามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่…เกรงว่าคงจะพลิกภูเขา เผาท้องทะเลกันได้เลยทีเดียว?
ฉู่หลิวเยว่ระงับคลื่นอารมณ์ในใจของนาง และมองไปยังเซี่ยหลิงหยางที่อยู่ตรงข้าม
ทั้งๆ ที่ยันต์เก้าวิญญาณยมโลกนั้นเกือบทำลายพลังปราณดั้งเดิมของเขา แต่สุดท้ายเขาก็เสียสละใช้เลือดของตัวเองบีบบังคับให้ขอบเขตพลังปราณของเขาสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกอย่างมาก
และบางที อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงได้รับผลสะท้อนกลับที่น่ากลัวยิ่งกว่า
แค่มองผ่านๆ ก็รู้แล้วว่าสภาพของเขานั้นน่าสังเวชเพียงใด
เขากำลังจะตาย ใบหน้าของเขาซีดเผือด และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด
เกรงว่าแม้แต่แรงจะลุกขึ้นก็ยังไม่มีเหลือเลย
ฉู่หลิวเยว่เชิดหน้าขึ้น พลันหันไปมองผู้ตัดสิน
“เช่นนี้แล้ว ถือว่าข้าชนะได้หรือยัง?”
ผู้ตัดสินยังคงตกตะลึงไม่หาย และในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงของฉู่หลิวเยว่
เขาหันมาอย่างเก้ๆ กังๆ ราวคอจะเคล็ด พลันพยักหน้าตอบ
“…นะ…แน่นอน!…”
เขาผงะไปครู่หนึ่ง พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วประกาศออกมาเต็มเสียง
“การประลองปรมาจารย์รอบที่เก้า ฉู่หลิวเยว่จากชงซูเก๋อเป็นฝ่ายชนะ!”
ดวงตาของเซี่ยหลิงหยางมืดลงและเขาก็สลบไปทันที
ใบหน้าของจางหัวนั้นมืดมนราวกับก้นหม้อ ลมปราณบนร่างกายของเขาเย็นชาอย่างมาก
“เศษสวะ!”
ขนาดใช้อุบายมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะฉู่หลิวเยว่ได้เลย!
เหล่าสาวกหลายคนของพันธมิตรเก้าดารารีบรุดไปข้างหน้า และพาตัวเซี่ยหลิงหยางกลับมา
โดยที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากสักคน
ทางด้านชงซูเก๋อ หลังจากประสบกับเหตุการณ์น่าตกใจเช่นนี้เป็นครั้งแรก ในที่สุดพวกเขาก็ดึงสติกลับมาได้
“ศิษย์น้องหญิงชนะแล้ว!”
ลู่เจือเหยากระโดดโลดเต้น และเหวี่ยงกำปั้นออกไปอย่างแรงราวอดไม่ได้ เขาเผลอทำแผลเปิดอีกครั้ง จนต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
เย่หรานหร่านรีบเข้ามาพยุงเขาทันที
“ระวังหน่อยสิ ศิษย์พี่ลู่!”
ลู่เจือเหยาไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของเขาได้
“แผลเล็กๆ แค่นี้เอง? หรานหร่าน เจ้าเห็นหรือไม่? ศิษย์น้องหญิงชนะแล้ว! นางเอาชนะเซี่ยหลิงหยางได้!”
เย่หรานหร่านยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่อยู่
“ก็ต้องเห็นอยู่แล้วสิ! ถึงคนในสนามจะเยอะ แต่ข้าก็มองแต่ฉู่หลิวเยว่!”
“ศิษย์น้องหญิง ทำได้เยี่ยมยอดมาก!”
“ข้าบอกแล้วว่าศิษย์น้องหญิงทำได้แน่นอน! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไปฝึกวิชากับศิษย์น้องหญิง พวกเจ้าห้ามขัดข้าเชียว!”
“คิดหรือว่าเจ้าจะได้ทำเช่นนั้นง่ายๆ? ไปต่อแถวเสีย!”
ทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และในที่สุดความกดดันที่กักเก็บไว้ก่อนหน้านี้ ก็ระบายออกมา
การประลองใช้เวลาไม่นาน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขารู้สึกว่ามันทรมานมาก ราวกับว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
แต่ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ชนะการแข่งขันแล้ว ทำให้พวกเขามีความสุขจนเกินบรรยาย!
ในที่สุดร่างกายที่ตึงเครียดของอวี้ฉือซงก็ผ่อนคลายลง กำปั้นที่กำแน่นในแขนเสื้อค่อยๆ คลายออก
สรุปแล้วก็เป็นอย่างที่คิด…
หลิวเยว่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นผิดหวังจริงๆ…
…
“ฉู่หลิวเยว่คว้าชัยชนะมาได้จริงๆ…ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบห้าเองมิใช่หรือ? นี่นางยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
“ข้าคิดผิดไปหรือนี่! ข้าคิดว่าการประลองครั้งก่อนๆ ที่นางชนะมาได้นั้นเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่ง…แต่ข้าคิดผิด! นางแข็งแกร่งจริงๆ!”
“แค่เชียงหว่านโจวก็น่าตกใจมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะร้ายกาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก! ไม่แปลกเลยที่นางได้อันดับหนึ่งจากงานหมื่นทูร…เป็นบุญของชงซูเก๋อจริงๆ ที่ได้เด็กสองคนนั้นเข้าไปเป็นสาวก…”
ผู้คนรอบด้านต่างส่งเสียงพูดคุยไม่หยุด
ฉู่หลิวเยว่รับฟัง ทว่าหาได้ใส่ใจไม่
เพราะเดิมทีนางก็ตั้งใจจะชนะการประลองครั้งนี้อยู่แล้ว
ชัยชนะที่ได้มาในตอนนี้ สำหรับนางแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและจบลงอย่างสมบูณ์แล้ว
ฉะนั้นนางจึงไม่รออยู่ต่อ และเดินออกไปสนามประลองที่อยู่ถัดไป
…ยังเหลือการประลองครั้งสุดท้ายอย่างการประลองเซียนหมออยู่อีกหนึ่งครั้ง!
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่เดินผ่านไป เสียงของฝูงชนก็เงียบลง พวกเขาล้วนมองหน้ากันด้วยความตกใจ
คำพูดที่นางประกาศกร้าวไว้การลงแข่งเมื่อครู่ ไม่ใช่เพียงเรื่องขำขันหรอกหรือ?
นี่นางจะลงแข่งเซียนหมอด้วยจริงๆ หรือ!?
หนิงจื้อชิงซึ่งยืนรออยู่บนสนามได้พักหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าคิดจะประลองกับข้าหรือ?”
เมื่อครู่นางเพิ่งจะผ่านการประลองมาสองสนาม แน่นอนว่าพลังปราณภายในของนางย่อมลดน้อยลง
ดูท่าว่าผลการประลองในรอบนี้คงออกมาเสมอกัน
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้ม
“แน่นอนสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะมาที่นี่เหตุใด? แต่ว่า…เจ้ายังไม่เริ่มอีกหรือ? ข้าบอกให้เจ้าต้มยาไปก่อนเลยมิใช่หรือ?”
แต่ผ่านไปครู่เดียว ผลลัพธ์ที่ได้คงไม่ต่างกันมากนัก
หนิงจื้อชิงขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม พลางเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“ฝีมือระดับข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าต่อให้ ข้าก็ชนะเจ้าได้”
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองเขาด้วยความสนใจ
หนิงจื้อชิงคนนี้เองก็ค่อนข้างหยิ่งยโสเช่นกัน แต่เขาไม่ได้หยิ่งแบบเซี่ยหลิงหยาง สำหรับชายผู้นี้ ต้องใช้คำว่าอวดดี ถึงจะเหมาะกว่า
พวกผู้ฝึกตนประเภทเซียนหมอมักจะมีความหยิ่งยโสอยู่ในตัวสูงมาก
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
หนิงจื้อชิงคนนี้รออยู่ที่นี่และดูเหมือนว่าเขายังคงจริงจังในการประลองกับนางอยู่
“ต้องขออภัยที่ทำให้เจ้ารอ เช่นนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยพลางหยิบหม้อต้มโอสถของตนออกมา
หนิงจื้อชิงเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วเริ่มเตรียมวัตถุดิบยาของตนอย่างว่องไว
ผู้เข้าแข่งขันสองคนในสนามได้เข้าสู่การประลองอย่างจริงจัง
ผู้คนที่เฝ้ามองจากนอกสนามล้วนมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป
เพราะตอนนี้คะแนนของชงซูเก๋อและพันธมิตรเก้าดาราเสมอกันอยู่!
ผลลัพธ์ของการประลองครั้งสุดท้ายนี้ จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ของการประลองทั้งหมด!
และจะมีการตัดสินว่า…ใครจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอันเหมาะสม ที่จะดำรงตำแหน่งหนึ่งในสี่นิกายหลักต่อไป!