ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 640 เสียดาย
ตอนที่ 640 เสียดาย
ไม่นานมานี้ชงซูเก๋อยังตามหลังอยู่มาก แต่หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวมาถึง พวกเขาก็ไล่ตามทันและคว้าชัยชนะมาได้อย่างต่อเนื่อง!
ตอนนี้ขอเพียงแค่ชนะอีกหนึ่งครั้ง ชงซูเก๋อก็จะสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้อย่างราบรื่น!
ทุกคนต่างถอนหายใจ
ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันเสียใหญ่โตเพียงนี้?
และดูเหมือนว่าสถานะที่มั่งคงมาตลอดของพันธมิตรเก้าดารานั้น กำลังตกอยู่ในขั้นวิกฤตเสียแล้ว…
…
จางหัวขมวดคิ้วแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาเชือดเฉือน
หากสายตาฆ่าคนได้ ฉู่หลิวเยว่คงโดนเขาฟันด้วยมีดพันเล่มไปแล้ว
ทว่าฉู่หลิวเยว่นั้นชินชากับการจ้องมองทุกประเภทอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย
แค่นี้ยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หากจบการประลองแล้ว จางหัวจะไม่โกรธแค้นจนเสียสติไปเลยหรือ?
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ มุมปากของนางยกยิ้มเย้ยหยัน พลันใช้มือข้างหนึ่งตบหม้อต้มโอสถทันที!
เปลวเพลิงสีแดงลุกโชติช่วง!
หนิงจื้อชิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ยังมีแรงแข่งต้มยาต่อไปจริงๆ ด้วย…
สรุปแล้ว นางมีพลังปราณภายในมากเพียงใดกัน?
แต่ถึงอย่างใดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาจะต้องชนะการประลองครั้งนี้ให้ได้!
เมื่อครู่เซี่ยหลิงหยางก็แพ้ไปแล้ว เกรงว่ากลับไปอย่างผู้แพ้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ตอนนี้ความกดดันทั้งหมดตกอยู่ที่เขาคนเดียว ถ้าเขาแพ้ มันจะแย่กว่าเซี่ยหลิงหยางหลายเท่า
พอนึกถึงสิ่งนี้ หนิงจื้อชิงก็เม้มปากแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ และใส่วัตถุดิบยาลงในหม้อต้มโอสถอย่างเป็นระบบ แล้วเริ่มกลั่นยา
…
เวลาผ่านไปช้ามาก
ความสนใจของทุกคนล้วนจดจ่ออยู่ที่ฉู่หลิวเยว่และหนิงจื้อชิง
สถานการณ์ในตอนนี้ ได้ดึงดูดความสนใจคนของสำนักอื่นให้เข้ามาชมกันอย่างล้นหลาม
เจี่ยนชูเย่เอามือไพล่หลังพลางใช้สายตามองฉู่หลิวเยว่ผ่านร่องน้ำที่คั่นกลางระหว่างสนามประลอง ก่อนจะตบริมฝีปากตัวเองอย่างอดไม่ได้
“จิ๊ จิ๊! สาวน้อยคนนี้ซ่อนความเก่งกาจไว้มากมายจริงๆ! ลองดูวิธีการพวกนี้สิ ช่างชำนาญยิ่งนัก! อีกทั้งยังควบคุมไฟได้ดีด้วย! ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ล้ำค่าจริงๆ!”
เขาเอ่ยชื่นชมออกมาเสียงดัง และทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่รอบๆ ได้ยินอย่างชัดเจน
เจี่ยนเฟิงฉือถึงกับปวดหัว พลันเอ่ยถามอย่างเหลืออด
“ท่านพ่อ ท่านเอาแต่ดูพวกเขาทั้งสอง ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเริ่มการประลองจนถึงตอนนี้ แต่ท่านกลับไม่หันไปดูการประลองระหว่างภูเขาเขี้ยวมังกรกับสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์เลย ตกลงท่านอยู่สำนักใดกันแน่?”
เจี่ยนชูเย่โบกมืออย่างไม่แยแส
“การประลองของสำนักเรามันน่าตื่นเต้นตรงไหน? อย่างใดเราก็ชนะอยู่ดี! ถ้าพูดตามตรง ข้าว่าการประลองของเชียงหว่านโจวกับฉู่หลิวเยว่ได้อรรถรสมากกว่าอีก! ถ้าไม่ดูล่ะน่าเสียดายเลย!”
เจี่ยนเฟิงฉือพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เขาคิดว่าตอนนี้ตาแก่ของเขาโดนซื้อไปเรียบร้อยแล้ว และไม่มีทางจะดึงกลับมาได้ด้วย
เจี่ยนชูเย่โพล่งขึ้นอีกครา
“ดูสิ! ระดับการกลั่นยาของฉู่หลิวเยว่นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้นางอยู่ในระดับใด?”
เจี่ยนเฟิงฉือหรี่ตา พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“น่าจะเซียนหมอระดับสี่? ทว่าก่อนหน้านี้ตอนเป็นแค่เซียนหมอระดับสาม นางก็สามารถกลั่นยาอายุวัฒนะได้แล้ว ฉะนั้น…ระดับที่แท้จริงของนางคงจะสูงกว่านี้”
อืม เช่นเดียวกับระดับของนางในการประลองสองครั้งที่ผ่านมา
แม้จะเป็นการต่อสู้โดยเพิ่มลมปราณแบบก้าวกระโดด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำสำเร็จ!
ซึ่งนางเองก็พึ่งพาพลังแบบนั้นมาตลอดมิใช่หรือ?
เจี่ยนชูเย่ถอนหายใจพรวด
“ไอ้หยา! ข้าเองก็เดาว่าเป็นเช่นนั้น! เจ้าดูทักษะของนางสิ แม้แต่เซียนหมอระดับห้ายังต้องอาย! ตอนเจ้าอายุเท่านั้น เจ้าห่วยแตกกว่านางเสียอีก!”
เจี่ยนเฟิงฉือ “…”
“ไม่รู้ว่าซงเหล่าทำบุญด้วยอันใด สองคนนั้นถึงเลือกไปอยู่ชงซูเก๋อกับเขา!”
เจี่ยนชูเย่เอ่ยเหน็บแนมด้วยความอิจฉา
ตอนแรกสาเหตุที่เขาต้องการให้ฉู่หลิวเยว่มาอยู่กับสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร ก็เพราะเรื่องพรสวรรค์ของนาง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะลูกชายของเขาเองมากกว่า
แต่ตอนนี้ สุดท้ายเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!
ทั้งเชียงหว่านโจว ทั้งฉู่หลิวเยว่…
ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!
เจี่ยนเฟิงฉือพูดอย่างเย็นชา
“แสดงว่า ท่านก็จะไม่ไปชมการประลองของหงอวี่ด้วยสินะ?”
ประโยคนี้ส่งผลให้เจี่ยนชูเย่มีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน
เขาหันควับกลับไปมองอย่างไว
“อันใด? ถึงคราวของหงอวี่แล้วหรือ?”
เมื่อกวาดสายตามองดีๆ เขาก็ได้เห็นมู่หงอวี่ที่กำลังเคลื่อนตัวไปด้านหลังคู่ต่อสู้ของนาง และปล่อยหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว!
โครม!
เนื่องจากร่างซวีหยวนนั้นได้เปรียบในเรื่องพละกำลังที่แข็งแกร่ง ทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่สามารถต้านทานได้
เป็นผลให้มู่หงอวี่ชนะการประลองนี้ได้อย่างราบรื่น
หลังจากจบการประลอง นางก็เดินออกจากเวที และตรงไปหาเจี่ยนชูเย่และลูกชายของเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณชาย! ทางด้านฉู่หลิวเยว่เป็นเช่นไรบ้าง?”
นางสาวเท้าเข้าไปใกล้เขา พลางเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
เมื่อครู่ก่อน ยามที่ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวลงแข่ง นางเองก็อยากเข้าไปดู แต่บังเอิญถึงรอบการประลองของนางพอดี ดังนั้นนางจึงพลาดโอกาสในการรับชมเสียอย่างนั้น
เจี่ยนเฟิงฉืออธิบายสถานการณ์สั้นๆ ให้นางฟัง
เมื่อมู่หงอวี่ฟังจบ แววตาของนางก็เปล่งประกาย พร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“ข้าว่าแล้ว! ข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างใดนางก็ต้องชนะ!”
ย้อนกลับไปสมัยเรียน ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เคยแพ้ผู้ใดเลยนะ?
และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน!
เจี่ยนเฟิงฉือกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ราวเกียจคร้านระคนชั่วร้าย
“ดูเจ้าจะเชื่อในตัวนางมาก”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
มู่หงอวี่ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว เพื่อจะได้เห็นการประลองได้ชัดขึ้น
“เมื่อได้สู้กับฉู่หลิวเยว่ อย่างใดพันธมิตรเก้าดาราอันใดนั่นก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับนาง! เพราะแต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นนางแพ้ให้ใครเลย!”
เจี่ยนชูเย่ถามด้วยความสนใจ
“หงอวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉู่หลิวเยว่เริ่มฝึกเป็นเซียนหมอตั้งแต่เมื่อใด? แล้วใครคืออาจารย์ของนาง?”
เขาไม่สนใจเรื่องอื่น แต่เขาต้องการรู้แค่เรื่องนี้จริงๆ
การที่เขาสามารถผลิตลูกศิษย์อย่างฉู่หลิวเยว่ออกมาได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ของนางในตอนนั้น ทรงพลังมากเพียงใด
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การฝึกตนของเซียนหมอนั้นจะต้องได้รับคำแนะนำอย่างระมัดระวัง และการสอนจากปรมาจารย์ในระดับสูง
มู่หงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“เหมือนจะเป็น…เหมือนจะเป็นหลังจากผ่านวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของนาง…ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ครบหนึ่งปีด้วยซ้ำ ส่วนอาจารย์ของนางก็คือเจ้าสำนักของเรา! ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักรับนางเป็นศิษย์ ตั้งแต่ก่อนที่นางจะเข้ามาศึกษาในสำนักวิชาของเราเสียอีก แต่ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อใด”
เจี่ยนชูเย่ตกตะลึง
“เจ้าจะบอกว่า…นางเพิ่งเป็นเซียนหมอฝึกหัดได้ไม่ถึงปีอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างใด!”
มู่หงอวี่ทวนความคิดอีกรอบ พลันเอ่ย
“ข้าไม่แน่ใจว่านางเริ่มฝึกเซียนหมอมานานแล้วหรือไม่ แต่สิ่งที่ข้าสามารถยืนยันได้ก็คือ ก่อนวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของนาง ชีพจรดั้งเดิมในร่างกายของนางยังไม่สมบูรณ์ ทำให้นางไม่สามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้ในเวลานั้นอย่างแน่นอน”
พอคิดๆ ดูแล้ว ฉู่หลิวเยว่นั้นดูราวกับเปลี่ยนจากคนไร้ค่าเป็นอัจฉริยะในชั่วข้ามคืน
เจี่ยนชูเย่สูดหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกเสียใจทันที หัวใจของเขาปกคลุมไปด้วยความเศร้าโศก
“ตอนนั้นข้าน่าจะแย่งนางมาจากซงเหล่าเสียให้จบๆ!”