ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 648 พระราชวังของนาง
ตอนที่ 648 พระราชวังของนาง
“องค์หญิงสามน่ะหรือเชิญข้าเข้าวัง?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความมึนงง
“เจ้าค่ะ องค์หญิงสามได้ยินว่าคุณหนูฉู่เป็นผู้กอบกู้สถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นในงานประชุมสำนักวิชา ซึ่งนับเป็นความกล้าหาญอันโดดเด่น และน่าชื่นชมมาก เพราะฉะนั้นเลยอยากเชิญคุณหนูเข้าไปพูดคุยกันในวังน่ะเจ้าค่ะ”
สองมือของฉานอี้กุมท้องน้อย พร้อมกับเอ่ยไปทีละคำ
ถึงแม้จะอยู่ในชงซูเก๋อ แต่นางก็ยังให้ความเคารพ เอาจริงเอาจัง และปฏิบัติตนดีเปรียบเสมือนอยู่ในวัง
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของฉู่หลิวเยว่
ในตอนนั้นนางไม่รู้ว่าจะเข้าใกล้คนเหล่านั้นได้เช่นไร แต่กลับเป็นซั่งกวนหว่านที่ออกตัวเชิญนางเข้าไปในพระราชวังด้วยตนเอง
อีกฝ่ายเรียกตัวนางกะทันหัน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “ความชื่นชม” เลยสักนิด แต่เป็นเพื่อจุดประสงค์อื่น
ในความเป็นจริง ก่อนหน้านี้ขณะที่นางอยู่ที่สวนเทพเนรมิต ฉู่หลิวเยว่จงใจทำให้ซั่งกวนหว่านสงสัย ทุกคราที่ขมวดคิ้วและยิ้ม ก็ล้วนเป็นความตั้งใจที่จะทำท่าทางให้เหมือนตนเองในสมัยก่อน
นั่นไม่ใช่เพียงแค่การทำเพื่อให้ซั่งกวนหว่านไม่สบายใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝังเมล็ดพันธุ์ความสงสัยไว้ในใจของนางอีกด้วย
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่ไม่กี่เพลา ซั่งกวนหว่านก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว
งานประชุมหมู่เหล่าสำนักเพิ่งจะจบไปเมื่อวันก่อน เช้าวันนี้ซั่งกวนหว่านก็ส่งฉานอี้มาในทันที
ดูเหมือนความอดทนของนางจะไม่ได้ดีเหมือนเคยเสียแล้ว…
“การได้รับคำเชื้อเชิญอันจริงใจจากองค์หญิงสาม นับเป็นเกียรติของคุณหนูนะเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเบาๆ ใบหน้าของนางปนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้น
ราวกับนางปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมท่าทางของตนไว้
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงสามได้นัดไว้เวลาใดหรือ?”
“หากคุณหนูฉู่ไม่ติดอันใด ก็ขอเชิญกลับพระราชวังไปพร้อมข้าน้อยวันนี้เลยเป็นอย่างใด?”
“วันนี้เลยหรือ?”
ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะลังเลเล็กน้อย
“วันนี้น่ะไม่ติดสิ่งใด แต่จะเป็นอันใดหรือไม่ หากข้าไม่ได้เตรียมตัวเข้าวังเลย?”
ฉานอี้กวาดสายตาไปทั่วใบหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว ร่องรอยของความดูถูกผุดขึ้นในใจ แต่สีหน้าของนางนั้นไม่ได้แสดงออกมาแม้แต่น้อย นางยังคงมีท่าทีสุภาพ
“เรื่องพวกนี้คุณหนูฉู่ไม่ต้องกังวลไป องค์หญิงสามให้ความสำคัญกับคุณหนูเป็นอย่างมาก องค์หญิงไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้หรอกเจ้าค่ะ”
ความกังวลบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่หายไป ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มั่นใจและสดใส
“หากเป็นอย่างนั้นข้าก็สบายใจแล้ว เช่นนั้นก็… รบกวนเจ้าด้วย”
“เชิญเจ้าค่ะ คุณหนูฉู่”
ขณะฉู่หลิวเยว่เดินตามฉานอี้ออกมาจากทางเข้าหลักของห้องโถง เย่หรานหร่านและเชียงหว่านโจวที่รออยู่นอกประตูอย่างกระวนกระวายใจก็มองมา
แท้จริงแล้วประตูไม่ได้ปิดไว้ พวกเขาจึงได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นด้านในระหว่างฉู่หลิวเยว่และบุคคลที่สองจากข้างนอกได้อย่างชัดเจน
เย่หรานหร่านก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยถามอย่างลังเล
“หลิวเยว่ เจ้าจะเข้าวังจริงๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบ
“ใช่ องค์หญิงสามส่งคนมาเชิญด้วยตนเอง ซึ่งก็แสดงถึงความจริงใจของนาง ไม่ต้องห่วง ข้าไปเดี๋ยวก็กลับ”
การกระทำของซั่งกวนหว่านในครานี้โจ่งแจ้งนัก ต่อให้นางต้องการจะทำอันใดบางอย่างจริงๆ ก็คงไม่เลือกลงมือในครั้งนี้เป็นแน่
เรื่องแค่นี้ ซั่งกวนหว่านคิดได้อยู่หรอก
เย่หรานหร่านกวาดสายตามองฉานอี้อย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด นางมักจะรู้สึกว่าสตรีในราชสำนักนางนี้มีลับลมคมในบางอย่าง
แม้ว่านางจะดูไม่มีอันใดผิดปกติ แต่…มันมีกลิ่นอายของสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกไม่ชอบและก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เช่นนั้น…เจ้าก็รีบกลับแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้มจนใบหน้าอันกลมมนของนางบีบเข้าหากัน
“รับทราบ!”
สาวน้อยผู้นี้คิดว่าตนเองปิดบังได้แนบเนียนแล้ว แต่ความจริง ความคิดทั้งหมดของนางนั้นถูกเขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว
นางมองไปยังเชียงหว่านโจว
ทั้งสองสบตากัน
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถเดาได้
นางรู้ว่าเชียงหว่านโจวต้องการจะไปด้วยกันกับนาง
แต่แน่นอนว่ามันไม่เหมาะสม
“เสี่ยวโจว อย่าลืมใช้ยาอายุวัฒนะที่ข้าเคยให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ล่ะ และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะวัดชีพจรให้”
เชียงหว่านโจวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้ารับ
ขณะนั้นเอง อยู่ๆ อวี้ฉือซงก็เดินเข้ามา
“คารวะท่านเจ้าสำนักอวี้ฉือ” ฉานอี้ทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
อวี้ฉือซงยิ้มรับ
“หลิวเยว่ ข้าจะลงเขาไปกับพวกเจ้าด้วย”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามด้วยความงุนงง
“ท่านก็จะเข้าวังด้วยหรือ?”
อวี้ฉือซงส่ายหัว
“ไม่ใช่ ข้าจะไปตำหนักเจียง”
แววตาของฉานอี้สั่นไหวเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที
อวี้ฉือซงตั้งใจที่จะไปสืบสวนเจียงอวี่เฉิงต่อ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะทรายรวมศูนย์ หรือเรือนฉิน ก็ดูเหมือนเขาจะปักใจเชื่อไปแล้วว่าเจียงอวี่เฉิงทำอันใดบางอย่าง อย่างใดเสียเขาก็กัดไม่ปล่อยแน่
ช่วงเวลานับจากนี้ของเจียงอวี่เฉิง เกรงว่ามันจะไม่ง่ายเสียแล้ว
ริมฝีปากของเขายกขึ้น และยิ้มมองไปยังฉานอี้
“แม่นางฉานอี้ เจ้าติดใจอันใดหรือไม่อยากให้ข้าลงเขาไปกับพวกเจ้าด้วยหรือ?”
ฉานอี้กล่าว
“ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าสำนักอวี้ฉือ เชิญคุณหนูฉู่เลยเจ้าค่ะ”
…
หลังจากที่ทั้งสามคนออกจากภููเขาชิงหยวน พวกเขาก็เดินไปด้วยกันสักระยะ ก่อนจะแยกทางกันในที่สุด
ฉู่หลิวเยว่และฉานอี้มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง ส่วนอวี้ฉือซงก็เบี่ยงเส้นทางไปยังตำหนักเจียง
ขณะเดินไปตามถนนหลวงอันกว้างขวางและเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ทอดยาวไปถึงหน้าประตูวัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นพระราชวังอันยิ่งใหญ่ตระหง่านตา
พระราชวังโอ่อ่าและเงียบสงบตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ชายคาสีเหลืองสดส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
มุมชายคารูปทรงโค้งขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ประดับประดาด้วยอสูรทั้งเก้าที่กำลังหมอบเรียงรายอยู่
สูงส่ง สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์!
แม้สีหน้าของฉู่หลิวเยว่จะดูนิ่งสงบ แต่ในใจของนางกลับปั่นป่วนไปหมด
ที่นี่เป็นสถานที่ที่นางคุ้นเคยดีที่สุด
นางเกิดและตายที่นี่
ครั้งหนึ่งนางเคยสดใส เจิดจรัส และสูงส่ง
และซ้ำยังเคยถูกทรมาน ทุกที่เต็มไปด้วยหยดเลือดและหยาดน้ำตา
หนึ่งปีแห่งชีวิตที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดจนยากจะลืมเลือนถูกฝังไว้ ณ ที่แห่งนี้
ทว่าบัดนี้…
นางกลับมาแล้ว!
และกำลังจะเหยียบเข้าสู่คานประตูนี้อีกครั้ง!
ฉานอี้เดินไปได้สองสามก้าวก็พบว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตามมา เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นว่านางกำลังจ้องไปยังประตู และพระราชวังที่อยู่เบื้องหน้านางด้วยความงุนงง
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาแสดงความกระวนกระวายใจ
“คุณหนูฉู่เจ้าคะ เราต้องเข้าไปข้างในแล้วนะเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่ละสายตาจากภาพตรงหน้า นัยน์ตาของนางเหมือนดั่งหยกสีดำทมิฬ ลุ่มลึก และเป็นประกายระยิบระยับดั่งดวงดาว
นางพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าตามเข้าไป