ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 651 ทำด้วยความเต็มใจ
ตอนที่ 651 ทำด้วยความเต็มใจ
จั่วหมิงซีส่ายหน้า
“ไม่มีเลย พ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนหว่านถอนหายใจเฮือกใหญ่
ว่าแล้วเชียว…
“พวกเจ้าก็ให้ยาท่านพ่อประจำมิใช่หรือ? นานขนาดนี้แล้ว ไยท่านพ่อจักไม่เคลื่อนไหวเลย?”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วมุ่นราวงุนงงสุดขีด
เดิมทีเพื่อจัดฉากว่าท่านพ่อป่วยหนักติดเตียง พวกเขาจึงลอบวางยาพิษท่าน
ในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดคิดว่าหลังจากฆ่าซั่งกวนเยว่แล้ว พวกเขาก็จะกำจัดท่านพ่อไปด้วย และบอกกับคนภายนอกว่า เนื่องจากการตายของซั่งกวนเยว่ ท่านพ่อจึงตรอมใจตายตาม
ทว่าผลที่ได้กลับพลิกผัน และพวกเขาก็ต้องรอให้ท่านพ่อตื่นขึ้นมา
ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดใช้ยาพิษ และทำการรักษาต่อไปโดยหวังว่าท่านจะตื่นขึ้นมาในเร็ววัน
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าท่านจะฟื้นเลย
จั่วหมิงซีละอายใจยิ่ง
“กระหม่อมมันไร้ความสามารถ”
ซั่งกวนหว่านทำหน้าบึ้งตึงจนไม่น่ามอง
หากเรื่องนี้ไม่ใช่ภารกิจรับ ที่ต้องใช้เซียนหมอคนสนิทแค่ไม่กี่คน นางคง…
จั่งหมิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวอย่างลังเล
“องค์หญิง จริงๆ แล้ว…ก่อนหน้านี้พลานามัยของฝ่าบาททรงดูดีขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้น ไม่ว่าจะลมปราณหรือชีพจรก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งด้วยเหตุนี้ หากเรายังคงดำเนินการตามรูปแบบเดิม ฝ่าบาทน่าจะทรงตื่นขึ้นในเร็ววัน…แต่แล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ อาการของฝ่าบาทก็เริ่มทรุดโทรมลงอีกครั้ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการของฝ่าบาทก็ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ส่งผลให้พระองค์นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจนถึงทุกวันนี้…”
ซั่งกวนหว่านหน้าบูดหน้าบึ้ง
“แล้วอย่างใด? เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่?”
สีหน้าของจั่วหมิงซีดูยุ่งเหยิง เขากำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิง กระหม่อมมีการคาดเดาอย่างหนึ่งในใจ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่”
“การคาดเดาอันใด? พูดออกเสียที!”
“ก็แค่…องค์หญิง ไม่แน่ว่าอาจมีคนเข้ามาแทรกแซงแผนการณ์ในปัจจุบันของท่านก็เป็นได้?”
ซั่งกวนหว่านหันขวับไปมองเขาทันที
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
จั่วหมิงซีตอบกลับ
“ตั้งแต่ทราบว่าพลานามัยของฝ่าบาทดีขึ้น กระหม่อมก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นได้เช่นกัน และกระหม่อมก็ทำตามวิธีนั้น ซึ่งสองสามวันแรกมันได้ผลจริงๆ แต่หลังจากนั้นฝ่าบาทก็อาการทรุดลงหลายต่อหลายครั้ง กระหม่อมยืนยัน ได้ว่าไม่มีอันใดผิดปกติกับใบสั่งยาของกระหม่อม และมันก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ดังนั้น…กระหม่อมจึงสงสัยว่าอาจจะมีคนนอกล่วงรู้เข้าแล้วก็ได้”
“จะเป็นไปได้อย่างใด? ตำหนักชิงเฟิงมีคนคอยคุ้มกันตลอดเวลา แม้แต่นกก็ยังบินเข้าไปไม่ได้ อีกอย่าง ก็มีแต่พวกเจ้าสามคนที่เป็นคนดูแลท่านพ่อ ไม่มีเซียนหมอคนใดนอกจากพวกเจ้าได้รับสิทธิ์นี้อีกแล้ว…”
การเข้าออกตำหนักชิงเฟิง จะต้องได้รับอนุญาตจากนางก่อน แล้วมันจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้อย่างใด?
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อม และมันอาจไม่เป็นความจริง” จั่วหมิงซีพูดทันที “และก็…ยาชนิดนั้น…การที่ฝ่าบาทรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก”
ใบหน้าของซั่งกวนหว่านราวกับคนอมทุกข์ นางไม่ตอบเขา
ในตอนนั้นที่นางคิดวางยาคน นางคิดถึงแต่เรื่องฆ่าคนเท่านั้น และใครจะไปคิดว่าต้องมาช่วยถอนพิษให้อีกครั้งกัน?
ตอนแรกนางไม่ได้รู้สึกอันใด แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่จั่วหมิงซีพูด นางก็อดสงสัยไม่ได้
หากคิดให้รอบคอบแล้ว มันก็อาจเป็นไปได้…
“สองเดือนมานี้มีใครเข้าออกตำหนักชิงเฟิงบ้าง?”
จั่วหมิงซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“นอกจากพวกกระหม่อมสามคน ก็มีแค่พระองค์กับราชบุตรเขยกระมั้ง?”
หากคนอื่นต้องการเข้าไป พวกเขาต้องได้รับความยินยอมจากซั่งกวนหว่านก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ดวงตาของซั่งกวนหว่านฉายแววสงสัยใคร่รู้
หากมีคนทำเช่นนั้นจริง จะเป็นใครกันนะ?
…
ฉู่หลิวเยว่เดินทางมายังสวนดอกไม้ด้านหลังตำหนักฮวาหยางกับฉางอี้
เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะแล้ว ทุกอย่างดูสวยงามและหรูหรา
มีดอกไม้และพืชมากมายถูกปลูกไว้ในสวน และถึงจะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ดอกไม้กว่าร้อยดอกก็ยังคงบานสะพรั่งและสวยงามมาก ยิ่งเมื่อคู่กับหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ก็ยิ่งดูสวยงามไร้ที่ติ
ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ
“อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เหตุใดดอกไม้ถึง…”
“องค์หญิงสามสั่งให้ผู้คนขุดคูน้ำด้านล่าง เพื่อดึงน้ำพุร้อนจากภูเขาหยูฉวนมาใช้ แม้ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ หน้าดินก็ยังอบอุ่นมาก ดังนั้น ดอกไม้และพืชเหล่านี้จึงสามารถบานสะพรั่ง เหมือนฤดูใบไม้ผลิในฤดูหนาวได้”
ฉานอี้อธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เช่นนี้นี่เอง…”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเข้าใจ
เมื่อมองดีๆ จะเห็นว่าตรงกลางสวนนั้นแทบไม่มีหิมะเลย
หลังจากที่เกล็ดหิมะตกลงบนพื้นดิน พวกมันก็ละลายและซึมลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
นางเดินดูช้าๆ ราวกับถูกดึงดูดด้วยดอกไม้และต้นไม้เหล่านี้
ทว่าตอนนี้ในใจของนาง กำลังมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา ซั่งกวนหว่านไม่ใช่คนชอบดอกไม้หรือต้นไม้ แล้วไยจู่ๆ นางจึงลงทุนใช้คนขุดคูน้ำใต้สวนดอกไม้หลังตำหนักฮวาหยาง และนำน้ำลงมาจากภูเขาหยูฉวนขนาดนี้
มันเป็นโครงการที่ฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายสูง
แม้ว่าซั่งกวนหว่านจะมีเงินมากมายจนไม่รู้จะเอาไปลงที่ใด แต่นางไม่ใช่คนที่จะเอาเงินมาใช้จ่ายกับการทำที่สถานที่พักผ่อนอันใดแนวนี้
เว้นเสียแต่ว่า…
เว้นเสียแต่จะเกิดอันใดขึ้นที่คูน้ำด้านล่าง!
…
ณ ตำหนักราชบุตรเขยเจียง
เจียงอวี่เฉิงนั่งอยู่บนแท่นประทับ พลางมองมู่ชิงเห่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“จะบอกว่าตัวตนของนางไม่มีสิ่งผิดปกติหรือ?”
มู่ชิงเห่อตอบกลับเสียงเรียบ
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว และยืนยันได้ว่าฉู่หลิวเยว่นั้นเติบโตขึ้นในเมืองหลวงของแคว้นเย่าเฉิน แต่เนื่องจากชีพจรดั้งเดิมของนางไม่สมบูรณ์ นางจึงถูกมองว่าไร้ประโยชน์และถูกรังแก ก่อนวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของนาง นางได้รับความช่วยเหลือจนสามารถฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของนางได้ และเริ่มเดินสายผู้ฝึกตนอย่างเป็นทางการ นางเข้าร่วมกับสำนักวิชาเพื่อฝึกฝน ก่อนที่ข้าจะไปถึงแคว้นเย่าเฉินได้ไม่นาน นอกจากข้าน้อยและเจี่ยนเฟิงฉือ นางก็ไม่รู้จักผู้ใดในราชวงศ์เทียนลิ่งเลย”
เจียงอวี่เฉิงเอนหลังพิงเก้าอี้ พลางใช้มือข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆ
“นี่มันแปลกจริงๆ…เหตุใดหอร้อยโอสถถึงสนใจนางมากขนาดนั้น ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาเห็นแก่เจ้า แต่ตอนหลังข้าพบว่า…ดูเหมือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้น…หลังจากที่นางเข้าเมืองซีหลิงมากับเจี่ยนเฟิงฉือแล้ว นางได้ไปพบใครบ้างหรือไม่?”
มู่ชิงเห่อนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว
“ตั้งแต่ที่นางมายังซีหลิง นางก็อาศัยอยู่ในจวนมู่ตลอด ตอนนั้นข้าน้อยสั่งให้ต้วนจืออวี่ติดตามนางทุกวัน และสามารถยืนยันได้ว่านางไม่ได้ออกไปพบปะกับบุคคลน่าสงสัยเลย ทว่า…เดือนที่แล้วนางได้ย้ายออกจากจวนมู่ ได้ยินมาว่านางอาศัยอยู่ในจวนหลังเก่าของอวี้ฉือซง แต่หลังจากนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบความเป็นไปของนางแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงถูหว่างคิ้วราวใช้ความคิด
“อวี้ฉือซงเป็นอาจารย์ของนาง ย่อมไม่แปลกที่เขาจะทำเช่นนั้น…แต่อวี้ฉือซงขายเครื่องใช้ในห้องพักของเขาไปหมดแล้วมิใช่หรือ? เช่นนั้นฉู่หลิวเยว่จะอยู่อย่างใด?”
มู่ชิงเห่อลังเลอยู่พักหนึ่ง
“จวนที่ตั้งอยู่บนถนนลิ่วอวิ๋นนั้น คือ…จวนแฝดสองหลังสุดท้ายของอวี้ฉือซงในเมืองซีหลิง”
เจียงอวี่เฉิงชะงักทันที
“ความจริงแล้ว จวนนั่นเป็น…”
จวนที่ในอดีตซั่งกวนเยว่ชอบไปประทับบ่อยๆ
ก่อนที่อวี้ฉือซงจะประสบปัญหาทางการเงิน เขานำของใช้ออกไปขายหลายอย่าง แต่กลับไม่แตะต้องจวนแฝดสองหลังนี้
เพราะหลังหนึ่งเขาเก็บไว้ให้ซั่งกวนเยว่
ส่วนอีกหลังก็เก็บไว้ให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขา
ทันใดนั้นเจียงอวี่เฉิงก็เหยียดยิ้ม พลางเอ่ยอย่างมีนัยยะ
“ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบฉู่หลิวเยว่ผู้นี้มากเลยนะ”
“ตึงๆ”
“กราบทูลองค์ชายใหญ่ อวี้ฉือซง เจ้าสำนักชงซูเก๋อ มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”