ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 656 สอบปากคำ
ตอนที่ 656 สอบปากคำ
หิมะตกหนัก มีผู้คนอยู่บนท้องถนนน้อยมาก
นางเดินตามคนกลุ่มนั้นไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็พบว่าพวกเขามาที่จวนตระกูลเจียงจริงๆ
เพียงแต่ว่าพวกเขาเข้าทางด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่มองพวกเขาจากที่ไกลๆ
ซุนฉียืนอยู่ที่หน้าประตู ราวกับกำลังรอพวกเขาอยู่
หลังจากคนเหล่านั้นมาถึงแล้ว เขาก็ทำความเคารพซุนฉีทีละคนตามลำดับ
นอกจากคนเหล่านั้นที่ฉู่หลิวเยว่พบระหว่างทาง ยังมีคนอื่นๆ ที่ตามมาสมทบด้วย
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เจียงอวี่เฉิงเรียกให้คนที่ติดตามเขาไปชายแดนใต้มารวมตัวกันที่นี่ใช่หรือไม่?
ดูจากคำพูดของคนเหล่านั้น พวกเขาคงได้รับความลำบากจากที่ชายแดนใต้ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เจียงอวี่เฉิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีกเลย
แต่วันนี้กลับเรียกพวกเขามาอย่างกะทันหัน
ความคิดของฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไปทันที
จริงสิ!
วันนี้อวี้ฉือซงลงเขามาตั้งแต่เช้า เขาบอกว่าเขาจะมาที่จวนตระกูลเจียงนี่นา
หรือว่า…เป็นเพราะเรื่องนี้?
“ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายใหญ่เรียกพวกเรามาตอนนี้ด้วยเหตุใด…”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเกียจคร้านดังขึ้นมาจากมุมถนน
ฉู่หลิวเยว่หันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็เห็นว่ามีคนสองคนกำลังเดินเข้าไปในจวนตระกูลเจียง
คนที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นชายฉกรรจ์ท่าทางสกปรก หูซ้ายของเขาเหมือนถูกอันใดบางอย่างตัดออกไป แม้กระทั่งหนังศีรษะยังถูกลอกออกไปด้วย เหลือเพียงรอยแผลเป็นสีแดงเข้มขนาดเท่าชามข้าว ดูน่ากลัวอย่างมาก
ด้านหลังของเขามีชายรูปร่างผอมเดินตามมา ชุดที่เขาสวมอยู่เป็นชุดสีดำทั้งเก่าและขาด ใบหน้ามีหน้ากากเหล็กประดับอยู่ครึ่งหน้า
ถึงอย่างใดก็ตาม นางก็ยังสามารถมองเห็นรอยแผลเป็นที่เล็ดลอดออกมาจากใต้หน้ากากนั้นได้ ดูแล้วเหมือนกับโดนไฟเผามา
ราวกับว่าเขาถูกทำลายใบหน้าให้เสียโฉมไปแล้ว ถึงจะต้องสวมหน้ากากเช่นนี้เอาไว้
เขาก้มหน้ามองพื้นมาตลอดทาง ท่าทางดูเหม่อลอยไม่มีสติ
ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหน้าก็หันกลับมามองเขา ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเองว่า
“ลำคอของเจ้าโดนพิษจนเป็นใบ้ไปหมดแล้ว ข้าถามเจ้าไปมันก็คงเปล่าประโยชน์! ไม่ว่าอย่างใดพวกเราก็พิการ…ไม่มีค่าพอให้ใช้งาน! ชีวิตนี้อยู่ได้เพราะความเมตตาจากคนอื่นแล้ว!”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกไปทันที จากนั้นก็รีบหลบซ่อนตัวด้วยความรวดเร็ว
“ดูนั่นสิ ซุนฉียืนอยู่ตรงนั้น! คนอื่นๆ ก็มาด้วยเหมือนกัน…มันจะต้องไม่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน…”
พรึ่บ! เงาร่างสีแดงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งรอยข่วนไว้บนมือของเขา! เลือดยังไหลซิบออกมา!
“อันใดกันเนี่ย?!”
ชายฉกรรจ์คนนั้นยกมือขึ้นมาดู จากนั้นก็เห็นว่าเงาร่างสีแดงนั้นกำลังวิ่งไปอีกฝั่งด้วยความรวดเร็ว
“ ข้าจะฆ่ามันให้ได้!”
ในตอนนี้แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ยังกล้ารังแกเขาเช่นนี้!
ชายฉกรรจ์คนนั้นรู้สึกโมโหอย่างมาก และรีบวิ่งตามไปทันที!
ชายร่างผอมเงยหน้าขึ้นมามอง และกำลังจะวิ่งตามไป แต่ตอนนั้นเองเขากลับรู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ขวางเขาไว้จากทางด้านหลัง!
เขารู้สึกตกใจอย่างมาก ตอนที่กำลังจะต่อสู้ขัดขืน เขากลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หลังคอ
เลือดอุ่นๆ ไหลทะลักออกมา
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาอยากจะบิดลำคอที่แข็งค้างกลับไปมอง แต่กลับถูกคนผู้นั้นตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากนั้นไม่นานขาทั้งสองข้างของเขาก็อ่อนยวบ ลมหายใจก็ดับไปอย่างสงบ
…
“ ไอ้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นมันวิ่งเร็วมาก!”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายฉกรรจ์คนนั้นก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
เดิมทีเขาคิดว่าจะฆ่าไอ้ตัวนั้นให้ตาย แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะวิ่งเร็วขนาดนั้น เขาวิ่งตามไปสักระยะหนึ่ง ก็หมดแรงไปไม่น้อยแล้ว จึงไม่ได้ตามต่อ
สุดท้ายไอ้ตัวนั้นก็กระโดดหายไปต่อหน้าต่อตาเขา
เมื่อคิดได้ว่าทางนี้ยังมีธุระต้องทำ สุดท้ายเขาก็ต้องกัดฟันเดินกลับมา
”ถ้าเป็นหนึ่งปีที่แล้วนะ…ตอนนี้ข้าไม่มีทางตกต่ำถึงขนาดถูกสัตว์เดรัจฉานรังแกเยี่ยงนี้หรอก!”
เขาสบถด่าเสียงต่ำ จากนั้นก็เห็นว่าชายรูปร่างผอมนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม พร้อมก้มหน้าก้มตา
เขาจึงโบกมือไปมาอย่างหงุดหงิด
“รีบไปกันเถิด! ถ้าไปสายแล้วจะถูกลงโทษได้!”
ชายร่างผอมเดินตามเขา เข้าประตูด้านหลังของจวนตระกูลเจียง
…
“ใต้เท้าซุนฉี”
เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าซุนฉี รัศมีความร้ายกาจและโหดเหี้ยมของชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ได้หายวับไปแล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับไว้จางๆ
“พวกเราได้ยินข่าวก็รีบมาทันทีเลย ไม่ได้มาช้าไปใช่หรือไม่ขอรับ?”
ใบหน้าของซุนฉีไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขากวาดสายตามองพวกเขาทั้งสองคน
“ฉีต้าเหอ เซี่ยมู่?”
ฉีต้าเหอรีบตอบรับทันที จากนั้นก็ผลักชายร่างผอมแห้งที่อยู่ด้านหลังของเขาด้วย
“เซี่ยมู่? เจ้ายังจะยืนเหม่ออันใดอยู่เล่า? เห็นใต้เท้าซุนแล้วยังไม่รีบคารวะอีก?”
ชายร่างผอมยังคงนิ่งเฉย
ฉีต้าเหอชะงักค้างไป
สุขภาพร่างกายของเซี่ยมู่นั่นย่ำแย่มาก แค่โดนลมโดนฝนก็อาจจะล้มลงได้แล้ว แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งผลักอีกฝ่ายไป…
ในตอนที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น เซี่ยมู่ก็พยักหน้าเพื่อทำความเคารพซุนฉีแล้ว
ซุนฉีรู้ว่าเซี่ยมู่คนนี้เป็นใบ้ จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขามากนัก
สายตาของเขาหยุดลงตรงที่แขนของฉีต้าเหอ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
ฉีต้าเหอรีบพูดขึ้นว่า
“เรียนใต้เท้าซุน เมื่อครู่ระหว่างทางมา ข้าได้เจอกับสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ไอ้เจ้าตัวนั้นมันกัดข้าเล็กน้อย…”
ซุนฉีพูดตัดบทอย่างหมดความอดทน
“เอาเถอะ รีบเข้ามาเถิด!”
ฉีต้าเหอก็ไม่กล้าพูดอันใดมาก ดังนั้นจึงรีบพยักหน้า แล้วพาเซี่ยมู่ไปด้านใน
…
หลังจากเข้ามาแล้ว ก็มีคนนำทางให้พวกเขาไปทางเรือนหลังหนึ่ง
เรือนหลังนี้ค่อนข้างห่างไกล และดูรกร้างอย่างมาก ราวกับว่าไม่มีคนอยู่อาศัยที่นี่มานานมากแล้ว และเพิ่งทำความสะอาดวันนี้นี่เอง
ตอนที่ฉีต้าเหอและเซี่ยมู่เข้าไป ในเรือนนั้นก็มีคนยืนรออยู่จำนวนไม่น้อยแล้ว
แค่มองก็รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
คนที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ส่วนใหญ่คนเหล่านี้เป็นคนที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว แต่หลังจากที่เขากลับมาจากสถานที่นั่นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว พวกเขาก็ได้ติดต่อกันน้อยมาก ยกเว้นไม่กี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย
แต่ในตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว บรรยากาศดูหดหู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ
มีเพียงบางคนเท่านั้นที่คุยกระซิบกระซาบกันเสียงเบา
เรือนทั้งเรือนเต็มไปด้วยความสงบ เงียบ เย็นยะเยือก
ฉีต้าเหอและเซี่ยมู่ยืนเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง เมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว ฉีต้าเหอก็ไม่กล้าพูดอันใดมากทำได้เพียงพันผ้าพันแผลที่แขนของตัวเองอย่างรีบร้อน
คุณชายใหญ่เป็นคนที่รังเกียจกลิ่นคาวเลือดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร…หากเขาเห็นเขา อาจจะโดนโกรธแบบไม่มีเหตุผลได้
หลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว ก็มีคนทยอยเดินเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
หลังจากประมาณด้วยสายตาแล้ว น่าจะมีห้าสิบกว่าคนได้
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ* แล้ว ในที่สุดซุนฉีก็เดินเข้ามา จากนั้นก็เดินไปที่ประตูด้านในสุด
ทุกคนจึงหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง และรู้สึกประหม่าขึ้นมา
ซุนฉีเคาะประตูเบาๆ
“คุณชายใหญ่ คนมากันครบแล้วขอรับ”
“แอ๊ด…” เสียงประตูเปิดออก
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมอาภรณ์สีเขียวเดินออกมาจากด้านใน
คนคนนั้นคือเจียงอวี่เฉิงนั่นเอง!
เขาเดินออกมาแค่ไม่กี่ก้าว ยืนอยู่ตรงขั้นบันได พร้อมกวาดสายตามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านล่างด้วยท่าทางเรียบเฉย
ทุกคนจึงรีบทำความเคารพทันที
“คารวะคุณชายใหญ่!”
เจียงอวี่เฉิงโบกมือขึ้น แล้วถามซุนฉีว่า
“มีคนมาเท่าไร?”
ซุนฉีตอบกลับด้วยความเคารพ
“เรียนคุณชายใหญ่ ทั้งหมดห้าสิบเจ็ดคนขอรับ”
เดิมทีมีเจ็ดสิบกว่าคน แต่เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงปีกว่าๆ กลับมีคนล้มตายอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้คนที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ก็มีเพียงห้าสิบเจ็ดคนเท่านั้น
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า พร้อมกวาดสายตาไปจนถ้วนทั่ว
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
ไร้เสียงตอบกลับ
เจียงอวี่เฉิงเอามือไพล่หลัง แววตาจริงจัง พร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ติดตามข้าไปยังชายแดนใต้ สิ่งที่ข้าต้องการจะถามก็คือ หนึ่งในพวกเจ้ามีใครได้เก็บทรายรวมศูนย์กลับมาหรือไม่!”