ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 669 เผาไหม้
ตอนที่ 669 เผาไหม้
ทันใดนั้นเองอาการปวดแสบปวดร้อนก็ขึ้นมาจากท้องน้อย
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วมุ่นใบหน้าซีดเผือดทันที
ซุนฉีรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วถามอย่างตื่นตระหนกว่า
“คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอันใดไปหรือ?”
เจียงอวี่เฉิงโบกมือ
“ไม่เป็นไร จับตัวเขาไว้ซะ”
“ขอรับ!”
ฉีต้าเหอมึนงงอย่างมาก
เรื่องที่ควรพูดเขาก็ได้พูดไปหมดแล้ว เหตุใดคุณชายใหญ่ยังไม่ปล่อยเขาไปอีก?
เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยทำเรื่องที่ต้องรู้สึกผิดต่อคุณชายใหญ่!
ซุนฉีเดินไปหยุดที่ด้านข้างของฉีต้าเหอ แล้วมองเจียงอวี่เฉิงอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณชายใหญ่ เช่นนั้น…”
เจียงอวี่เฉิงส่งสายตาไม่พอใจให้เขาเล็กน้อย
“ทำตามแผน”
ซุนฉีพยักหน้าตอบรับทันที
แต่ฉีต้าเหอกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ทำตามแผน…
แผนอันใด?
เขารู้สึกได้ว่าประโยคเมื่อครู่นี้กำลังพูดถึงเขาอยู่…
ผลัวะ!
ซุนฉีใช้สันดาบสับที่หลังคอ ทำให้ฉีต้าเหอตาเหลือก แล้วสลบไป
หลังจากนั้นเขาก็ลากฉีต้าเหอออกไปด้วยตนเอง
เมื่อประตูห้องปิดลง ภายในห้องจึงเหลือเพียงเจียงอวี่เฉิงคนเดียวเท่านั้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เดินไปหลังฉากกั้นห้อง
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อออก แล้วมองดูแผลตรงบริเวณท้องน้อยของตัวเองอย่างละเอียด
เมื่อครู่เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ากำลังเผาไหม้ แต่มันปรากฏแค่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สลายหายไปในทันที
พู่กันด้ามนี้ทะลวงเข้าไปด้านในโดยตรง ความจริงบาดแผลนี้ไม่ได้ใหญ่ กอปรกับเฟิงซานหยวนได้จัดการแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแผลจึงดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
แต่ความเจ็บปวดแปลกๆ นั้น กลับทำให้เจียงอวี่เฉิงวางใจลงไม่ได้
เขานั่งสมาธิ พร้อมโคจรลมปราณ ก่อนจะตรวจสอบสถานการณ์ในร่างกายของตนเองอย่างละเอียด แต่เขากลับไม่เจอปัญหาใดๆ เลย
หลังจากที่เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก เขาก็ส่งคนให้ไปเชิญเฟิงซานหยวนมา
หลังจากที่เฟิงซานหยวนฟังเขาบรรยายแล้ว ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แต่หลังจากที่เขาจับชีพจรให้เจียงอวี่เฉิงซ้ำสามครั้งแล้ว ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด
“นี่…นอกจากบาดแผลเล็กน้อยบนร่างกายของคุณชายใหญ่แล้ว เหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ อีก…ความเจ็บปวดที่ท่านพูดถึง เป็นเรื่องอันใดกันแน่?”
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่น
“เหมือนถูกแผดเผา แต่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็หายไป ข้าตรวจสอบด้วยตนเองแล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ความเจ็บปวดนั้น มันน่าแปลกอย่างมาก…”
เขาเป็นคนที่ระแวดระวังเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจะไม่สนใจไม่ได้
เฟิงซานหยวนแสดงสีหน้าอับจนปัญญา
“อาจจะเป็นเพราะว่าวิชาแพทย์ของข้ายังไม่ดีพอ…เช่นนั้นคุณชายใหญ่ลองให้หมอคนอื่นมาดูบาดแผลดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง”
เจียงอวี่เฉิงส่ายหน้า
เฟิงซานหยวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เหตุใดล่ะขอรับ? จั่วหมิงซีและคนอื่นๆ ก็เป็นคนที่ไว้ใจนะขอรับ พวกเขาไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องสุขภาพของท่านออกไปอย่างแน่นอน”
เซียนหมอสามคนนั้นล้วนเป็นคนสนิทของซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยินยอมให้พวกเขาดูแลฝ่าบาทโดยเฉพาะหรอก
เจียงอวี่เฉิงไม่ได้พูดอันใด แต่สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน และทำให้หัวใจของเฟิงซานหยวนเต้นแรงเหมือนมีคนตีกลองอยู่ภายใน
หรือว่า…คุณชายใหญ่ไม่เชื่อใจคนพวกนั้นแล้ว?
“ตอนนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ ไม่ว่าร่างกายของข้าจะเป็นอย่างใด ก็ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้เป็นพวกเขา ก็อย่าให้รู้จะดีที่สุด”
วันนี้ซั่งกวนหว่านได้เล่าเรื่องนั้นให้เขาฟังแล้ว จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
หากมีคนหักหลังพวกเขาจริงๆ ละก็…ดังนั้นเขาจึงต้องระวังตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
เฟิงซานหยวนไม่ได้ถามอันใดต่อ
“ขอรับ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะกลับไปเปิดตำราแพทย์ ดูว่าจะสามารถหาสาเหตุมันได้หรือไม่?”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า
หลังจากเฟิงซานหยวนออกไปแล้ว เจียงอวี่เฉิงจึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่ด้านข้างของโต๊ะตัวนั้น ก่อนจะมองพู่กันด้ามนั้นอย่างละเอียด
ด้านบนมีคราบเลือดที่แห้งกรังติดอยู่
นอกจากครั้งแรก เขาก็มองไม่เห็นร่องรอยอันใดอีกแล้ว
เจียงอวี่เฉิงเอาแขนเท้าโต๊ะเอาไว้ แล้วเข้าสู่ภวังค์แห่งการครุ่นคิด
เรื่องนี้ฉู่หลิวเยว่จะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
ในเมืองซีหลิงมีคนที่อยู่ระดับสี่ตอนปลายอยู่จำนวนไม่น้อย แต่คนที่มีความกล้าเช่นนี้ อีกทั้งยังลงมือได้โหดเหี้ยมและแม่นยำเช่นนี้ กลับมีไม่กี่คน
แต่เขาไม่มีหลักฐานยืนยันตัวฉู่หลิวเยว่และหรงซิว
อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่คนในวังหลวงและมู่ชิงเห่อจะโกหกเขา
ดูเหมือนว่าจะต้องหาโอกาสลองเชิงดูเท่านั้น…
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแล้วนึกขึ้นได้ว่า
หากเป็นฉู่หลิวเยว่จริงๆ เหตุใดนางถึงได้ลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้นล่ะ?
ก๊อกๆ!
ตอนที่เจียงอวี่เฉิงกำลังครุ่นคิดอย่างสับสนอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูจากหน้าห้องอย่างเร่งรีบ
เจียงอวี่เฉิงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
ดึกขนาดนี้แล้วเหตุใดถึงยังมีคนมาหาเขาได้?
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากออกไป ด้านนอกประตูก็มีเสียงสะอื้นของผู้หญิงดังขึ้น
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่รีบเปิดประตูสิเจ้าคะ!”
เป็นเจียงอวี่จือนั่นเอง
อารมณ์โกรธในใจของเจียงอวี่เฉิงดับมอดลงทันที จากนั้นเขาก็เดินออกไปเปิดประตู
ใบหน้าของเจียงอวี่จือมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ปกปิดครึ่งใบหน้าของนาง
“นี่เจ้าจะทำอันใดน่ะ?” เจียงอวี่เฉิงถามขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว
เจียงอวี่จือแววตาแดงก่ำ ลุงฝูที่อยู่ด้านหลังของนางก็รีบคุกเข่าลงทันที
“คุณชายใหญ่โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย! ข้าน้อยผิดไปแล้ว!“
เจียงอวี่เฉิงเงียบลงทันที จากนั้นก็ดึงพวกเขาทั้งสองเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ฉีกผ้าพันแผลที่อยู่บนใบหน้าของนางออก
จากนั้นก็เห็นใบหน้าบวมแดงฟกช้ำ
เจียงอวี่จือร้องไห้แล้วพูดว่า
“พี่ใหญ่ วันนี้ที่ข้าออกไปนอกจวน กลับโดนคนผู้นั้นทำร้ายอีกแล้ว!”
เส้นเลือดตรงขมับของเจียงอวี่เฉิงเต้นตุบๆ
เรื่องยุ่งยากมากเกินไป ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาอย่างใดดี
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วระงับเพลิงแค้นในอกอย่างยากลำบาก ก่อนจะหันไปมองที่ลุงฝู
“นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”
วันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แต่ใบหน้าของลุงฝูกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
เขาพูดขึ้นอย่างประหม่า
“คุณชายใหญ่ วันนี้ข้าน้อยติดตามคุณหนูสี่ไป แต่ในตอนที่กำลังจะชำระเงินนั้น คุณหนูกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่ข้าน้อยหานางพบ…ก็เห็นว่า..เห็นว่า…คุณหนูสี่เป็นเช่นนี้แล้วขอรับ…ข้าน้อยละเลยหน้าที่ คุณชายใหญ่ได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!”
ความจริงแล้วลุงฝูก็ถูกใส่ร้ายเช่นกัน
เขาติดตามคอยระวังให้คุณหนูสี่ทั้งวัน แต่ใครจะคิดว่าช่วงเวลาไม่นาน อีกฝ่ายกลับลงมือเสียแล้ว!?
วันนี้เจียงอวี่เฉิงเจอเรื่องเลวร้ายมาทั้งวัน แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า ขนาดกลางดึกก็ยังมีเรื่องมาไม่หยุดหย่อน
ปราณที่อยู่รอบข้างของเขาก็แผ่กระจายความเย็นเยียบออกมา
“ลงโทษตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด? ไปหาตัวต้นเรื่องนั้นมาให้ได้! ครั้งนี้พวกเจ้าเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่?”
เจียงอวี่จือส่ายหน้าพร้อมน้ำตาริน
ลุงฝูพูดขึ้นว่า
“คุณชายใหญ่ ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถลักพาตัวคุณหนูสี่ไปจากข้างกายของข้าอย่างไร้เสียงได้ หมายความว่าฝีมือของคนผู้นั้นสูงกว่าข้าแน่นอน”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปเล็กน้อย
แม้ว่าลุงฝูจะไม่ได้เป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่ต่ำเลย
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถส่งคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าได้ หากเขาต้องการชีวิตของเจียงอวี่จือจริงๆ เกรงว่าจะเป็นเรื่องง่ายอย่างมาก
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
นั่นหมายความว่าเขาตั้งใจทรมานเจียงอวี่จืออย่างชัดเจน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบสายตากลับไปมอง จากนั้นก็เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมของเจียงอวี่จือ แต่ในแววตายังมีความหวาดกลัวแฝงอยู่
“พี่…พี่ใหญ่…จากนี้ข้าจะไม่ออกจากเรือนแล้ว…ท่านรีบจับคนผู้นั้นออกมาโดยเร็วได้หรือไม่?”
ครั้งก่อนเจียงอวี่จือยังดูกำเริบเสิบสาน แต่ตอนนี้กลับได้รับความลำบาก ท่าทีจึงเปลี่ยนไปทันที
ในใจของเจียงอวี่เฉิงทั้งรู้สึกทุกข์ใจและรำคาญในคราวเดียวกัน สุดท้ายจึงพูดได้แค่
“เจ้ากลับไปรักษาตัวก่อนเถิด ช่วงนี้ก็ห้ามออกจากจวน ข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องนี้เอง”
เจียงอวี่จือไม่ได้คัดค้าน และพยักหน้าตกลงอย่างน่าสังเวช
คืนนี้เจียงอวี่เฉิงจึงนอนหลับไม่สนิท และฝันร้ายติดต่อกัน
ความเจ็บปวดจากการถูกแผดเผา ทำให้เขานึกถึงเพลิงไหม้ครั้งใหญ่
แต่ในคราวนี้ เขากลับเป็นคนที่อยู่ในกองเพลิงแทน