ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 685 ร่วมด้วยช่วยกัน
ตอนที่ 685 ร่วมด้วยช่วยกัน
ความเงียบงันก่อตัวขึ้นทั่วทั้งบริเวณ
ฉู่หลิวเยว่หันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเห็นคนของสำนักกระบี่เมฆาม่วงก้าวเท้าเข้ามา
ชายผู้นี้คือคนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่
เขาดูเหมือนคนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาดูธรรมดาสามัญ ผมยาวสลวยทอประกายสีม่วงจางๆ
ซ่งชิงเหนียนหรือ?
ฉู่หลิวเยว่รู้จักเขา
คนผู้นี้เป็นลูกชายคนโตของซ่งหลวน เจ้าสำนักกระบี่เมฆาม่วง และยังเป็นนายน้อยของสำนักกระบี่เมฆาม่วงอีกด้วย
พรสวรรค์ของเขานั้นไม่เลวเลย แต่ถ้านางจำไม่ผิดล่ะก็ เขาทะลวงผ่านระดับเจ็ดขั้นต้นได้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
ทว่าตอนนี้กลับดูไร้วี่แววจะทะลวงขึ้นต่อ…
แต่เนื่องจากสถานะและความแข็งแกร่งของเขา จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เห็นค่านักรบระดับห้าอย่าง
ฉู่หลิวเยว่
“ศิษย์พี่ชิงเหนียน พวกนั้นชนะอันดับหนึ่งงานหมื่นทูร อีกทั้งยังชนะการประลองแบบตัวต่อตัวถึงสามครั้งซ้อนด้วย เลยทำตัวหยิ่งผยองเช่นนั้น…”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองหญิงสาวที่พูดจีบปากจีบคออยู่ด้านหลังเขาแวบหนึ่ง
และใช่ อีกฝ่ายเป็นคนที่นางรู้จักดี
หยางเซิ่นเอ๋อร์
คำพูดของนางนั้นคล้ายคำปลอบประโลมซ่งชิงเหนียน แต่กลับสามารถปกปิดความอิจฉาที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้นได้
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างไร้เดียงสา
“ข้าเพิ่งมาถึงและยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดออกไปด้วยซ้ำ จะไปทำตัวหยิ่งผยองได้อย่างใด?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ชะงัก
แต่ซ่งชิงเหนียนยังคงเมินเฉย อีกทั้งกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับไม่ได้ฟังคำพูดของนาง
“มันก็แค่งานประลองเล็กๆ เท่านั้น เซิ่นเอ๋อร์ รอให้เจ้าได้เห็นโลกมากกว่านี้ เจ้าจะไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน…จงจำเอาไว้ให้ดี หลังจากนี้หากเจ้าเพียรฝึกฝนอย่างหนัก มีหรือที่เจ้าจะพ่ายแพ้ให้แก่นาง?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และแอบชื่นชมเขาในใจหน่อยๆ
แม้หยางเซิ่นเอ๋อร์ที่ถูกสำนักกระบี่เมฆาม่วงส่งมาจะประพฤติตัวได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็ยังพูดเช่นนี้กับนาง
ในความทรงจำของนาง ซ่งชิงเหนียน นายน้อยแห่งสำนักกระบี่เมฆาม่วงนั้นหยิ่งยโสอย่างยิ่ง
และจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงวางท่าอวดดีไม่เปลี่ยน
หยางเซิ่นเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย
“ขอบพระคุณศิษย์พี่ชิงเหนียนสำหรับคำชมเชย”
ซ่งชิงเหนียนมองนางและหัวเราะ พลันตบแขนนางเบาๆ และเดินนำผู้คนออกไปอีกด้านหนึ่ง
“นี่พวกเจ้า…”
เย่หรานหร่านที่ยังคงโกรธเคืองสาวเท้าไปด้านหน้า เพื่อต้องการถกเถียง
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ดึงแขนนางไว้แล้วส่ายหัวเบาๆ
เย่หรานหร่านยังคงโมโหไม่หาย
“หลิวเยว่ คนผู้นั้นพูดใส่เจ้าเพียงนี้ เจ้าคิดจะปล่อยไปง่ายๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“แค่คำไม่กี่คำ ตัวข้านั้นมิได้สึกหรอ ไยจักต้องพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับคนเช่นนั้น? อีกทั้ง ยังมีอีกหลายคนที่ว่าร้ายข้าเป็นการส่วนตัว เช่นนั้นแล้วข้าต้องตามไปคิดบัญชีทุกคนเลยหรือ?”
“แต่พวกนั้นพูดใส่เจ้าต่อหน้า…”
“คนมากันเยอะแล้ว พวกเราควรสงบสติอารมณ์เสียหน่อย จะได้ไม่เกิดปัญหา”
“…ก็ได้”
เย่หรานหร่านกลั้นหายใจอย่างเหลืออด แต่เมื่อเห็นเจตจำนงที่แน่วแน่ของฉู่หลิวเยว่ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟัง
นางมองไปที่ซ่งชิงเหนียนและพูดด้วยเสียงต่ำ
“นายน้อยสำนักกระบี่เมฆาม่วงนั่นมีดีตรงไหนกัน? ตัวเขาในช่วงอายุเท่าหลิวเยว่ เทียบเจ้าไม่ติดเลยด้วยซ้ำ!”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ข้ารู้”
ในอดีตซ่งชิงเหนียนแก่กว่านางเพียงไม่กี่ปี และเมื่อใดที่เขาไม่เชื่อในความสามารถของนาง เขาก็มักจะท้าดวลกับนาง
แต่หลังจากซ่งชิงเหนียนโดนจัดการจนความจริงประจักษ์แก่สายตา เขาก็หลบหน้านาง และไม่ยอมเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังอีกเลย
เชียงหว่านโจวจ้องมองซ่งชิงเหนียนอย่างเย็นชา ก่อนจะดึงสายตากลับมา
ซ่งชิงเหนียนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง พลันหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่พบอันใด
ในทางกลับกัน พวกของฉู่หลิวเยว่สามคนกำลังซุบซิบพูดคุยไม่หยุดด้วยสีหน้าปกติธรรมดา และยังหัวเราะเป็นครั้งคราว ราวกับว่าไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดเลย
ซ่งชิงเหนียนยิ้มเยาะ
“เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ช่างอวดดียิ่งนัก ไว้ถึงแดนภังคะเมื่อใด ข้าจักแสดงให้นางรู้ซึ้งเอง!”
หยางเซิ่นเอ๋อร์ก้มหน้า และไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ
…
“หลิวเยว่!”
เสียงเรียกระคนยินดีดังขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ก่อนจะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
มู่หงอวี่นั่นเอง
เดิมทีนางเดินทางมากับคนของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร แต่พอนางเดินเข้ามาและเห็นฉู่หลิวเยว่จากระยะไกล นางจึงรีบวิ่งเข้ามาทักทายอย่างอดไม่ได้
“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าก็ไปเหมือนกัน! เอ๊ะ ตัวแทนของชงซูเก๋อมีแค่พวกเจ้าสามคนเองหรือ?”
สองสามวันที่ผ่านมา มู่หงอวี่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมกับเจี่ยนชูเย่ นางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องสถานการณ์ภายนอกมากนัก
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“เหล่าศิษย์พี่ล้วนติดธุระ เลยส่งพวกข้าสามคนมาแทน”
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังมาจากด้านข้าง
ซ่งชิงเหนียนหัวเราะเยาะและพูดกับคนข้างๆ ว่า
“เหอะ ทำเป็นพูดดีไป คิดว่าไม่มีคนรู้หรือว่าความจริงแล้ว ชงซูเก๋อไม่มีคนอื่นให้ส่งมาแล้ว?”
การที่สำนักที่มีศิษย์สาวกไม่ถึงร้อยคนอย่างชงซูเก๋อ ได้เป็นหนึ่งในสี่นิกายหลักร่วมกับพวกเขานั้น ทำให้เขารู้สึกเสื่อมเสียอย่างยิ่ง
รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่
ทว่ามู่หงอวี่กลับเป็นฝ่ายตอกกลับตัดหน้านางเสียก่อน
“แค่สามคนนี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? ข้าจำได้ว่าสาวกหลายคน ณ ที่นี้เอง ก็เข้าร่วมงานประลองของสำนักวิชาด้วย? แต่ในบรรดาคนของพวกเจ้ามีใครชนะหลิวเยว่ด้วยหรือ?”
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้ประลองกับฉู่หลิวเยว่ในงานประชุมสำนัก
แต่มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่านางเอาชนะนักรบระดับหกคนหนึ่งได้?
ถึงในสนามจะมีผู้เข้าร่วมการประลองอยู่เยอะ แต่ก็มีนักรบระดับหกอยู่ไม่กี่คน…
แสดงว่าฉู่หลิวเยว่นั้นแข็งแกร่ง โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดใด!
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบข้างก็เงียบลง
ซ่งชิงเหนียนขมวดคิ้วแน่น
“เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างใดมาทำตัวอวดดีต่อหน้าท่านชายอย่างข้า?”
หยางเซิ่นเอ๋อร์กระซิบเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ชิงเหนียน นางคือผู้ครอบครอบร่างซวีหยวน…”
ซ่งชิงเหนียนหรี่ตามอง
“เช่นนั้นก็คงเป็นทาสที่เจี่ยนเฟิงฉือซื้อตัวมาในราคาหกล้านผลึกศิลาขาวสินะ?”
สิ้นประโยคนั้น ทุกคนต่างหันมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
ผู้คนที่ได้ยินล้วนรู้ความหมายแฝงในประโยคนั้นดี!
ในราชวงศ์เทียนลิ่ง สถานะของทาสนั้นด้อยกว่าคนอื่น แต่มู่หงอวี่นั้นครอบครองร่างซวีหยวนอยู่ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงอิจฉาริษยานางมากกว่าปกติ
และด้วยสถานะภาพเช่นนั้น หากในอนาคตนางได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ยังจะต้องกลัวถูกผู้คนดูหมิ่นไปไย?
แต่หากตัวตนนี้ถูกเปิดเผยออกมาก่อน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำให้นางอับอาย
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่เย็นชาขึ้นมาทันที
พลันชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างใจเย็น
“มู่หงอวี่เป็นศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าสำนักของเรา ไม่ทราบว่านายน้อยซ่งมีปัญหาอันใดหรือ?”
ท่าทีของซ่งชิงเหนียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผู้คนรอบข้างเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
มู่หงอวี่เป็นศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากเจี่ยนชูเย่อย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นตัวตนของนางก็ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่…
รู้หรือไม่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีลูกศิษย์ที่เจี่ยนชูเย่ยอมรับและยกย่องแค่สามคนเท่านั้น!
และมู่หงอวี่ก็ได้เป็นคนที่สี่!
ดูเหมือนว่าเจี่ยนชูเย่จะไม่สนใจสถานะทาสของนางเลยสักนิด
และเนื่องจากเขาเต็มใจที่จะทำเช่นนี้ แค่นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับมู่หงอวี่มากแค่ไหน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขานั่นแหละ คือคนที่คอยหนุนหลังมู่หงอวี่!
แม้ว่าซ่งชิงเหนียนจะหยิ่งยโสและชอบดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่าใครสามารถรุกรานได้และใครที่ทำไม่ได้
เจี่ยนชูเย่ เจ้าสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรนั้นตั้งมั่นในเรื่องการปกป้องคนของตนอย่างมาก แม้แต่พ่อของเขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจี่ยนชูเย่ตรงๆ แล้วนับประสาอันใดกับเขา?
เขาตะคอกกลับไปอย่างเย็นชา พลันสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง แล้วหันหน้าเดินหนีไป
ชายหนุ่มคนนั้นเดินไปหาฉู่หลิวเยว่ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสุภาพ
“จู้หงขออนุญาต คุณหนูฉู่ ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักและนายน้อยได้กำชับให้ข้าคอยดูแลพวกท่านขณะเดินทางไปยังแดนภังคะ ไม่ทราบว่าท่านยินยอมที่จะเดินทางร่วมกับพวกข้าหรือไม่?”
ฝีมือเจี่ยนชูเย่กับเจี่ยนเฟิงฉือหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่าจู้หงและคนอื่นๆ ดูจริงใจ พลันเลิกคิ้ว
“ตกลง! เช่นนั้นต้องขอขอบคุณพวกเจ้าล่วงหน้าแล้วกัน!”