ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 694 คุ้นเคย
ตอนที่ 694 คุ้นเคย
ชิ้ง!
เชียงหว่านโจวก้าวเท้าพุ่งตัวไปด้านหน้าฉู่หลิวเยว่ พลันเหวี่ยงกระบี่แล้วฟันออกไป!
แกรก!
เจ้าสิ่งนั้นส่งเสียงออกมา!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้าน ก่อนจะหันศีรษะไปมอง!
ทว่าอีกด้านของป่าที่ไกลออกไปนั้นไร้ผู้คน
แต่ที่เท้าของนางกลับมีเศษไม้หักเป็นสองท่อนกองอยู่…ลูกธนูหรือ
ลูกธนูไม้นี้ทำขึ้นมาจากเศษกิ่งไม้ บริเวณปลายลูกขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ประมาณว่าเป็นงานที่ทำขึ้นมาลวกๆ แต่ตรงหัวลูกธนูนั้นมีลมปราณที่เฉียบคมปกคลุมอยู่
อีกทั้งยังเป็นลูกธนูไม้ขนาดเล็กที่ทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกถึงอันตราย ในขณะที่มันพุ่งเข้ามาเมื่อครู่!
เห็นได้ชัดว่าศัตรูในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก!
ฉู่หลิวเยว่ตวัดสายตาขึ้นมองอีกครั้ง แล้วกวาดมองทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ
ทว่ารอบด้านกลับไร้ซึ่งเงาของมนุษย์
“เกิดอันใดขึ้น? มีคนรอบโจมตีหรือ?”
เมื่อมู่หงอวี่และเย่หรานหร่านได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว พวกนางก็รีบพุ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนก
ฉู่หลิวเยว่หยิบลูกธนูไม้หักๆ ขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนว่าลูกธนูไม้นี้ จะเพิ่งถูกทำขึ้นมา
และเป็นไปได้มากว่า ฝั่งตรงข้ามคงอยากทดลองใช้มัน
แววตาของฉู่หลิวเยว่หรี่แสงลงเล็กน้อย และในที่สุดก็หยุดสายตาไว้ที่บริเวณหนึ่ง
“เก่งนักหรือลอบทำร้ายกันเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้าไปเลยเล่า?”
สายลมหอบใหญ่พัดผ่านจนใบไม้ปลิวว่อน
ทว่านอกจากเสียงของลมแล้ว ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ฉู่หลิวเยว่รออยู่พักหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบสนอง
นางจึงออกแรงขยับฝ่ามือเบาๆ แล้วเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่ง!
ลูกธนูไม้ในมือนางถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านจำนวนหนึ่งกำมือ และถูกทำลายจนหมดสิ้น
นางรู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นภาพนี้ และนี่คือคำเตือนจากนาง
“หากเจ้าไม่ยอมออกมา เช่นนั้นก็ต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
หลังจากพูดจบ นางก็หันกลับไปและเดินต่อไปยังลำธาร
เชียงหว่านโจวกระชับกระบี่ในมือ พลางสาวเท้าตามไป
เย่หรานหร่านกระโจนตามไปอย่างว่องไว พลันโพล่งถามอย่างอดไม่ได้
“หลิวเยว่ ฝั่งนั้นลอบทำร้ายเจ้าเลยนะ เจ้าจะยอมจบง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กระตุกยิ้มมุมปาก
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกตินางไม่มีทางยอมเด็ดขาด
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้… ส่วนใหญ่ฝ่ายนั้นคงอยากจะแค่ทดสอบ และในทางกลับกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการค้นหาสัตว์อสูรระดับเก้าให้เจอโดยเร็วที่สุด
หากหลวมตัวเข้าไปพัวพันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ไม่รู้ว่าจักต้องเสียเวลาไปมากมายเพียงใด
“รอให้พวกเขากล้าออกมาก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“พวกเขา?”
ไม่เพียงแค่เย่หรานหร่าน แม้แต่มู่หงอวี่เองก็ตกใจเช่นกัน
สรุปแล้วศัตรูไม่ได้มีคนเดียวหรอกหรือ?
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ได้อธิบายอันใดเพิ่มเติม
อันที่จริง เมื่อครู่นางสัมผัสได้ถึงลมปราณของคนถึงสองคน
แม้มันจะบางเบา แต่ก็รู้สึกได้
“เหตุใดถึงมีคนอยู่ที่นี่…” มู่หงอวี่พึมพำเสียงเบา
เพราะตอนที่พวกเขาหันกลับไปมอง ก็เห็นอยู่เต็มตาว่าผืนป่านั่นมันถูก…
นางคิดมาตลอดว่าคงจะเหลือกันอยู่แค่สี่คน
ฉู่หลิวเยว่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ในใจนางเริ่มเดาอันใดได้บ้าง
อย่างเช่น บางทีคนที่ลอบโจมตีนาง อาจเป็นคนที่รับผิดชอบในการปกป้องสัตว์อสูรระดับเก้า…
แต่นั่นก็ฟังดูไร้น้ำหนักเกินไป
ใครๆ ก็รู้ว่าสัตว์อสูรระดับเก้านั้นทรงพลังเพียงใด แม้ว่าตอนนี้มันกำลังเผชิญกับการทะลวงขึ้นพลังปราณ และอยู่ในช่วงเวลาที่เปราะบางและอันตราย แต่ก็ไม่มีสัตว์อสูรตัวใด ยอมปล่อยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นฝ่ายปกป้องพวกมันหรอก
และโดยปกติ สัตว์อสูรระดับสูงก็มองว่ามนุษย์เป็นศัตรูและเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าไว้ใจอยู่แล้ว
ในเมื่อพวกมันไม่ไว้ใจมนุษย์ เช่นนั้นมันจะมอบสิ่งสำคัญเช่นนี้ให้พวกเขาได้อย่างใด?
ดังนั้น หลังจากการคาดเดานี้ปรากฏขึ้น ฉู่หลิวเยว่จึงรีบปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการคาดเดาที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าก็คือ สองคนนั้นมาเพื่อจับตัวสัตว์ระดับเก้า!
แต่แล้วฉู่หลิวเยว่ก็รีบหยุดความคิดนั่นไว้ พลันเดินหน้าต่อ
สีสันในลำธารทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มสีรุ้งเหล่านั้นรวมตัวกันส่องแสงเป็นประกาย
จากนั้นก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา
มู่หงอวี่ทำจมูกฟุดฟิด
“นี่ พวกเจ้าได้กลิ่นอันใดหรือไม่? เหมือนกลิ่นหอมนั่นจะ…มาจากลำธารเลย!?”
เย่หรานหร่านทำท่าสูดดมอยู่สองครา แล้วก็ต้องประหลาดใจ
“เหมือนจะใช่จริงๆ ด้วย! แต่ทว่ากลิ่นนี้…เหมือนจะไม่ใช่กลิ่นของสมุนไพรนะ…”
ตลอดเวลาที่นางฝึกตนอยู่กับผู้อาวุโสซย่าอี้ นางได้เห็นสมุนไพรมากมายหลายชนิด และเพียงดมกลิ่น นางก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามันคือสมุนไพรชนิดใด
แม้ว่ากลิ่นหอมนั่นจะบางเบา แต่ก็เป็นกลิ่นที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“หลิวเยว่ เจ้าว่าอย่างใด?”
เย่หรานหร่านหันมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความลังเลใจ
หลังจากที่ได้เห็นการกลั่นโอสถของฉู่หลิวเยว่มาแล้ว เย่หรานหร่านก็รู้ได้ทันทีว่า ระดับการกลั่นโอสถของฉู่หลิวเยว่นั้นเหนือกว่าตนเองแน่นอน!
และตอนนี้นางก็ยิ่งศรัทธาในคำพูดของอีกฝ่าย
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับตกตะลึง และแน่นิ่งไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ นางปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
เย่หรานหร่านเริ่มสงสัยแล้วตะโกนเรียกนางสองที
“หลิวเยว่ หลิวเยว่?”
กระทั่งฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับมาได้
“หลิวเยว่ เจ้าเป็นอันใดไป? เหตุใดจึงดูใจลอยเพียงนั้น?”
“…ไม่มีอันใด…” ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ “แค่กำลังคิดว่ากลิ่นนี้ช่าง…เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยยิ่งนัก”
ทุกคนหันมามองนางด้วยความประหลาดใจ
แววตาเรียวรีของมู่หงอวี่ ทอประกายวาววับ
“หลิวเยว่ หมายความว่าเจ้าเคยได้กลิ่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่? แล้วมันคืออันใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัวอย่างลังเล
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ…”
เมื่อครู่นางใช้เวลาคิดอยู่นาน แต่ก็จำไม่ได้ว่ามันคือกลิ่นอันใด และก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นหอมนี้
นางไม่รู้ว่าความรู้สึกอันแสนลึกซึ้งนี้ มีที่มาที่ไปอย่างใด
มู่หงอวี่ทำหน้าผิดหวัง แต่ไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง
“แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าคุ้นเคย แสดงว่าเจ้าต้องเคยเห็นมันมาก่อน! แต่แค่นึกไม่ออกเฉยๆ! ลองเดินไปเรื่อยๆ ไม่แน่เจ้าอาจจะนึกออกก็ได้นะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับ
จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินต่อไป
แต่เพราะยิ่งก้าวเข้าไปในอาณาเขต แรงบีบอัดเหล่านั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นความเร็วในการเดินเท้าของพวกเขาจึงลดลง และจำต้องหยุดพักกันเป็นระยะ
ทว่าสุดท้ายคนที่ลอบโจมตีเมื่อครู่ ก็ไม่ยอมเผยตัวตนออกมา
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เจียงอวี่เฉิงตกลงไปในรอยแยกลึก เขารู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะเสียสมดุลแล้วตกลงไปลึกกว่าเดิม
ก่อนจะตระหนักได้ว่ารอยแยกนี้ค่อนข้างแคบ ร่างของเขาถูกับกำแพงและหินแหลมๆ ที่ยื่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล
เขาเริ่มหมุนเวียนพลังดั้งเดิมในร่าง เพื่อหลบหนีออกจากที่นี้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าความแข็งแกร่งของเขาถูกระงับโดยพลังที่อธิบายไม่ได้!
ท่ามกลางความมืดมิด เขามองไม่เห็นอันใดสักอย่าง อีกทั้งยังไม่สามารถหลุดพ้นได้จากสภาวะเช่นนี้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายตกลงไป
ทว่าโชคดีที่ยิ่งร่วงลงไปมากเท่าไหร่ ทัศน์วิสัยรอบด้านก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น
ตัวเขาเริ่มไม่โดนหินพวกนั้นแล้ว
แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้ให้เจียงอวี่เฉิงสงบจิตสงบใจลงได้เลย และมันยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้น
ใครจะไปคิดว่ามีพื้นที่แปลกๆ เช่นนี้ซ่อนอยู่ใต้ป่าหมอกมายากันล่ะ?
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างที่นี่ล้วนผิดปกติ!
“หว่านเอ๋อ?! มู่ชิงเห่อ!?”
เขาพยายามเรียกชื่อคนอื่นๆ แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
ในพื้นที่ว่างเปล่าเช่นนี้ มีเพียงเสียงของเขาเองที่ดังก้องอยู่ตลอดเวลา
ตุบ!
และท่ามกลางสภาวะตึงเครียดเช่นนี้ ในที่สุดเจียงอวี่เฉิงก็หล่นลงมาถึงพื้น!
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก พื้นนี่ดูนุ่มเกินกว่าจะเป็นพื้นดินจริงๆ เสียอีก และเหมือนว่ามันจะเป็น…
เจียงอวี่เฉิงหยิบไข่มุกธาราประธีปออกมา
แสงสลัวๆ ส่องสว่างไปทุกทิศทุกทาง
และในที่สุดเขาก็เห็นฉากโดยรอบได้อย่างชัดเจน
แต่หลังจากได้เห็นภาพตรงหน้า เขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง
เพราะตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในบึงโคลนสีดำ!