ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 705 ครึ่งปีก
ตอนที่ 705 ครึ่งปีก
ผู้อาวุโสชิวซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยกหลังมือของเขาขึ้นต้านในทันที
มู่ชิงเห่อยกแขนคว้าฝักกระบี่ขึ้นสกัดลูกธนูดำนั้นทันพอดี!
ตึง!
ได้ยินเสียงกระแทกดังชัดเจน!
ใบหน้าของมู่ชิงเห่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พลังที่อยู่ในลูกศรนี้แข็งแกร่งมากทำให้แขนของเขาชาไปครึ่งหนึ่ง
แต่ทว่าในครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดลูกธนูนั้นได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่เบี่ยงมันไปจากทิศทางเดิมเล็กน้อย
ผู้อาวุโสชิวซีโกรธมาก แต่มันก็สายเกินไปที่จะใช้อุบายอื่นๆ และทำได้เพียงคว้าน้ำเหลว
ลูกธนูนั้นกลับถูกคว้าไว้ได้ แต่ฝ่ามือเขากลับร้อนราวกับถูกไฟไหม้
หางตาของผู้อาวุโสชิวซีกระตุกอย่างแรง แทบอยากจะปล่อยมือทันที!
แต่ด้วยผู้คนมากมายที่รายล้อมดูอยู่นั้น เขาจะทำแบบนั้นได้อย่างใดกันล่ะ?
เช่นนั้น เขาจึงต้องอดทนอย่างมาก และค่อยๆ กล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้อย่างเงียบๆ
อย่างใดก็ตาม พลังของลูกธนูนั้นแรงเกินไป หลังจากที่ตกไปอยู่ในมือของเขา มันก็ยังไม่หยุดนิ่ง กลับยังคงหมุนอย่างบ้าคลั่ง!
พิ้ว!
ธนูลูกนั้นพุ่งออกจากมือของผู้อาวุโสชิวซี!
และเพราะก่อนหน้านี้ทิศทางถูกเบี่ยงไปเล็กน้อย ลูกธนูดอกสุดท้ายจึงยังคงพุ่งมาจากเหนือศีรษะของเขา มันบินเฉียดผ่านหนังศีรษะเขาไป!
ผู้อาวุโสชิวซีรู้สึกเหมือนเพียงนิดเดียวเท่านั้น หนังศีรษะของเขาก็จะถูกเปิดออกแล้ว!
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดในเวลานี้ กลับไม่ใช่ความเจ็บปวดหนังศีรษะ แต่กลับเป็น…
มือของเขาค่อยๆ เหยียดออกเล็กน้อย เขามองลงมาอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือนั้นปรากฏรอยบาดแผลฉกรรจ์!
หัวใจของผู้อาวุโสชิวซีเต้นแรง
หากลูกธนูดอกนั้นพุ่งผ่านหว่างคิ้วของเขาจริงๆ… เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่เหลือแล้ว!
หลังจากตกใจ สิ่งที่ตามมาคือความกลัว
หลังจากความกลัวกลับกลายเป็นความโกรธ
ผู้อาวุโสชิวซีรู้สึกว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทำให้เขาแทบบ้าคลั่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่พี่เหลยสี่ด้วยความอาฆาต
“เจ้า…”
“ข้าเหตุใด!?”
พี่เหลยสี่ยกมือขึ้น ธนูลูกนั้นบินกลับไปยังมือของเขาอีกครั้ง
เขามองดูและเช็ดลูกธนูบนเสื้อผ้าที่หยาบกร้านด้วยความรังเกียจ แล้วใส่มันกลับไปในกล่องธนู
ราวกับว่ามีสิ่งสกปรกบางอย่างอยู่บนนั้น
“อย่าให้ข้าต้องบอกพวกเจ้าเลย ตราบใดที่วันนี้มีข้า พี่เหลยสี่ยืนอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนอย่าริอาจก้าวเข้ามายังค่ายกลนี้แม้แต่ก้าวเดียว”
พี่เหลยสี่กล่าวพลางมองผู้อาวุโสชิวซีด้วยสายตาตักเตือน
ดวงตาของเขาแดงก่ำ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมากจริงๆ
ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครก็ตามที่ก้าวไปข้างหน้า เขาจะยิงทะลุหัวใจของฝ่ายตรงข้ามในทันที!
ภายในสนามเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
แม้แต่ผู้อาวุโสชิวซีที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบครั้งใหญ่ ก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบกลับมา
เขาอ้าปากจะกล่าวอันใดบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างใด
ความแข็งแกร่งของพี่เหลยสี่ในครั้งนี้…เหนือกว่าพวกเขาทุกคนอย่างแน่นอน!
ผู้อาวุโสชิวซีผู้ทะนงตน มักจะต่อสู้กับทุกสิ่ง
หากแต่เมื่อชีวิตเผชิญหน้าตกอยู่ในความเสี่ยง เขายังรู้ที่จะก้มศีรษะและยอมจำนนแต่โดยดี
ใครกันนะที่ทำให้ตนเองด้อยลงมาขนาดนี้?
ผู้อาวุโสชิวซีพยายามที่จะทำให้ท่าทีของเขาดูเป็นธรรมชาติ แต่ด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ มันกลับทรยศเขาและแสดงให้เห็นถึงความกังวลและความกลัวของเขาในเวลานี้
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกัน? น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งเช่นนี้? หรือว่าสัตว์อสูรระดับเก้านี้ คือสัตว์อสูรของเจ้า?”
พี่เหลยสี่มองเขาด้วยสายตาที่เวทนาราวกับมองคนตาย
“ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะยังทรมานไม่พออีกสินะ?”
ในขณะที่เขาพูดเขาทำท่าทางที่จะยิงธนูอีกครั้ง
หัวใจของผู้อาวุโสชิวซีสั่นไหว เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองไปที่เขา และมุมปากโค้งเล็กน้อย
แต่ไม่ได้หัวเราะออกมา
ทว่าการเย้ยหยันที่สื่อออกมานี้ ใครมันจะดูไม่ออกบ้าง?
ผู้อาวุโสชิวซีรู้สึกอับอาย แทบไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งบนใบหน้าแก่ๆ นี่แล้ว
“ข้า… ข้าควรไปหาองค์หญิงสามก่อน…”
หลังจากพูดจบ เขาก็รีบหันหลังจากไป
หลังจากที่เดินห่างออกมาระยะหนึ่ง สีหน้าของผู้อาวุโสชิวซีล้วนยังไม่ได้ผ่อนคลายลง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก!
มู่ชิงเห่อมองไปที่พี่เหลยสี่ด้วยสายตาหยั่งลึก
พี่เหลยสี่เตรียมจะลงมืออีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาที่จะฆ่า…
เขาเป็นใครกันแน่?
ลงมือโจมตีได้เหี้ยมโหดเช่นนั้น เป็นเพราะรู้สึกถูกระรานหรือเป็นเพราะ…เหตุผลอื่น
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์ร่วงลงมาอีกครั้ง!
ฉู่หลิวเยว่หันหลังกลับ และมองอย่างตั้งใจ
นี่เป็นทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่ห้าแล้ว
และต้องรอกระทั่งทัณฑ์สวรรค์ฟาดลงครบเก้าครั้ง
ในค่ายกลนั้น แสงสว่างค่อยๆ แผ่ขยายกว้างขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมด
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ จนถึงตอนนี้ไม่มีใครเห็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรนั่น
ฉู่หลิวเยว่มองดูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็หรี่ลงเล็กน้อย
“นั่นคือ…อันใดกัน?”
เมื่อได้ยินเสียงของนาง หลายคนต่างก็หันมองตามนาง
แผ่นสีน้ำตาลแห้งกรังแผ่นนึง…เปลือกไม้! ?
“นั่นดูเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง!”
เย่หรานหร่านพูดด้วยสายตาที่เฉียบคม
อันที่จริงฉู่หลิวเยว่เองก็ดูออกเช่นกัน
ศูนย์กลางของค่ายกลนั้น ดูเหมือนว่าจะมีต้นสนฉัตรขนาดใหญ่และหนามากต้นหนึ่งยืนหยัดอยู่
ในตอนแรกพวกเขาเห็นเพียงกองใบไม้ที่ร่วงหล่น และรากไม้ที่ยังเหลืออยู่ แต่ตอนนี้กลับเห็นลำต้นแล้ว
ต้นไม้ต้นนี้สูงตระหง่านกว่าต้นไม้ใดที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน
ฉู่หลิวเยว่มองอย่างละเอียด และพบว่าแม้คนห้าคนจะโอบต้นไม้ด้วยกัน ก็คงโอบไม่ได้
แต่ไม่มีสัตว์อสูรระดับเก้าที่พยายามจะทะลวงอยู่ในค่ายกลนี้หรอกหรือ?
แล้วต้นไม้ประหลาดนี้กลับปรากฏขึ้นได้อย่างใดกัน?
ในขณะที่แสงด้านบนยังคงส่องสว่าง ผู้คนต่างรู้สึกว่ามันยากที่จะมองเห็นได้ชัดเจนว่า นอกจากต้นไม้แล้ว ยังมีอันใดอีก
โชคดีที่ลำแสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือค่ายกล มันยังคงพุ่งขึ้นไปบรรจบกันด้านบนอย่างต่อเนื่อง
อีกส่วนหนึ่งของค่ายกลด้านล่างเริ่มโปร่งใส
การบีบบังคับนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
เห็นได้ชัดว่า สัตว์อสูรนั้นรอดชีวิตจากทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่ห้าได้สำเร็จ
พรึบ…
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปีกกระพือตามสายลม!
เงาอันยิ่งใหญ่ สะท้อนบนผิวค่ายกล! เผยให้เห็นเค้าโครงครึ่งร่างของมัน!
มู่หงอวี่อุทานด้วยความตกตะลึง
“นั่นคือปีกจริงๆ! นั่นต้องเป็นของสัตว์อสูรตัวนั้นแน่ๆ!”
นางแทบจะซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่ และตะโกนไปที่ฉู่หลิวเยว่ “หลิวเยว่ ที่เราเห็นเมื่อครู่นี้ มันก็คือเจ้านั่น!”
หลังจากพูดจบ ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ตอบสนอง
มู่หงอวี่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง แต่เมื่อได้เห็นฉู่หลิวเยว่จ้องมองไปที่ค่ายกลนั้น ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจ
“หลิวเยว่ หลิวเยว่? เจ้าเป็นอันใดไป?”
มู่หงอวี่ผลักแขนของนางเบาๆ อย่างไม่สบายใจเล็กน้อย ถามด้วยเสียงเบา
เลือดของฉู่หลิวเยว่เกือบจะแข็งไปทั้งตัว
นางเปิดปากด้วยความลำบาก
“พวกเจ้า…เห็น…สีของปีกนั่นหรือไม่?”
มู่หงอวี่งงเล็กน้อย
“สี? ดูเหมือนว่า… ดูเหมือนจะเป็นสีรุ้งนะ? มีอันใดผิดปกติหรือ?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้าน!
เมื่อครู่นี้ ครึ่งปีกนั้น…
นางช่างคุ้นเคยกับมันเสียเหลือเกิน!
เพราะนั่นคือ…
ปีกของไก่ฟ้าเก้าสี!