ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 707 สีสัน
ตอนที่ 707 สีสัน
พี่เหลยสี่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหว และพอหมุนศีรษะกลับไปมอง ก็พบว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ถอยหลังกลับ ใบหน้าพลันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“นางหนูนี่! เบื่อชีวิตแล้วหรือไร!?”
ตอนนี้หากเป็นผู้อื่นล้วนคิดหลบหนีกันจ้าละหวั่น แต่นางกลับทำตรงกันข้ามแล้วรุดหน้าเข้ามาใกล้!
ช่างไม่จริงจังกับความเป็นความตายของชีวิตตัวเอาเสียเลย!
ทว่า บนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่นั้นปราศจากความลังเลแม้แต่เพียงนิดเดียว นัยน์ตาดุจหยกสีนิลที่ลึกล้ำและสุกสกาวคู่นั้น บัดนี้ได้พรั่งพรูความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อันไร้เทียมทานและไอรังสีที่หนาวเสียดแทงจนถึงกระดูก
พี่เหลยสี่กำลังจะตะคอกด่าออกมาอีกรอบ เมื่อเห็นสีหน้าของนางเขาพลันหยุดชะงัก
บนใบหน้าสวยสดงดงามเปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้น หว่างคิ้วของนางนั้นเผยให้เห็นความยึดมั่นในเกียรติของตนอย่างปิดไม่มิด!
ราวกับจะบอกว่า สำหรับเรื่องที่นางต้องการทำ ในใต้หล้านี้ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางนางได้!
ทั้งสีหน้าเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ รวมทั้งรังสีที่ให้ความรู้สึกเหนือกว่าจนผู้อื่นต้องยอมศิโรราบเช่นนี้…
พี่เหลยสี่เคยเห็นมันจากคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น!
ฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ทำหน้าทำตาและฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับเป็นคนละคน!
มิรู้เพราะเหตุใด พี่เหลยสี่พลันรู้สึกว่าใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าตนค่อยๆ ผสานเข้ากับใบหน้าหนึ่งในความทรงจำ!
เขาส่ายศีรษะของตนอย่างแรง…บ้าไปแล้วหรืออย่างใด!? นี่เขากำลังเปรียบเทียบฉู่หลิวเยว่กับองค์หญิงอยู่เช่นนั้นหรือ?
แต่…
แต่เมื่อความคิดนี้ได้ปรากฏออกมาแล้ว ก็ดูเหมือนว่ามันได้หยั่งรากลึกลงไปยังก้นบึ้งในจิตใจของเขา ทำอย่างใดก็ไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้!
ด้วยความลังเลใจเพียงชั่วครู่ ฉู่หลิวเยว่ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว!
เมื่อครู่นางยืนอยู่ที่บริเวณตำแหน่งเหนือจากค่ายกลสิบก้าว บัดนี้กลับเข้ามาใกล้กว่าเก่า
“เจ้า…!”
พี่เหลยสี่คิดจะเอ่ยโน้มน้าวนางอีกครั้ง สายตาฉู่หลิวเยว่พลันเบนมามองเขาเล็กน้อยแวบหนึ่ง
สายตานั้นทั้งนุ่มนวลและแผ่วเบาเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นพี่เหลยสี่ก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของตนสั่นสะท้าน ราวกับว่าถูกอันใดบางอย่างตรึงเขาไว้กับที่อย่างแน่นหนา
คำพูดครึ่งประโยคที่เหลือของเขา ถูกกลืนกลับเข้าไปจนหมด
เหมือนว่า…
สายตาเมื่อครู่นั้น เหมือนกันมากจริงๆ!
มากเสียจนในชั่วขณะนั้น เขาเกือบจะ…
“ฉู่หลิวเยว่ผู้นั้น บ้าไปแล้วหรือไร! บ้าไปแล้วหรือไร!?”
ผู้อาวุโสชิวซีที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องแยกย้ายกันไปหาตัวซั่งกวนหว่าน บัดนี้ยังคงยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาจับจ้องฉู่หลิวเยว่ด้วยความโกรธระคนหวาดกลัวที่ฉาบทั่วทั้งใบหน้า มือข้างหนึ่งที่ชี้นางสั่นเทาราวกับร่อนตะแกรง
มู่ชิงเห่อขมวดคิ้ว
ฉู่หลิวเยว่จะทำอันใด นั่นล้วนเป็นเรื่องของนาง เกี่ยวอันใดกับผู้อื่นเล่า?
ผู้อาวุโสชิวซีมีโทสะเช่นนี้ มิพ้นเพราะกังวลว่าฉู่หลิวเยว่จะเข้าใกล้สัตว์อสูรกว่าเดิม และกลัวว่านางจะได้ความดีความชอบไปก่อนตน
เขาถอยหลังมาสองสามก้าว เอ่ยเสียงเบาว่า
“ผู้อาวุโสชิวซี หากเกิดเรื่องขึ้นกับนาง นั่นก็ต้องโทษตัวนางวิ่งหาที่ตายเสียเอง เหตุใดท่านจึงตื่นตระหนกเช่นนี้เล่า? อีกอย่าง มิใช่ว่าท่านพูดว่าอยากไปหาองค์หญิงสามก่อนหรอกหรือ?”
ผู้อาวุโสชิวซีพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เขาอยากไปหาซั่งกวนหว่าน แต่ แต่ว่าสัตว์อสูรระดับเก้ามันอยู่ที่นี่!
ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยโต้กลับไป
“ข้ากังวลว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นจะทำเสียเรื่องเพราะความโลภต่างหาก!”
ในตอนนั้นเอง ฝั่งมู่หงอวี่ทั้งสามคนก็มาถึงบริเวณด้านหลัง และได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเสียงดังฟังชัดอย่างพอดิบพอดี
ในใจมู่หงอวี่เป็นห่วงฉู่หลิวเยว่อย่างมากเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
“คือว่า ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสชิวซีใช่หรือไม่? ท่านถือสิทธิ์อันใดมาพูดถึงหลิวเยว่เช่นนี้? อันใดคือการที่พูดว่ากลัวความโลภของนางทำเสียเรื่อง? เจ้าสัตว์อสูรระดับเก้าอันใดนั่น นางจะไปเอาตัวมันมาได้อย่างใด? ท่านจะดูถูกหลิวเยว่มากเกินไปแล้ว!?”
ตอนนี้พวกนางต่างก็กลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะไปพบเจอภยันอันตราย แต่เขากลับยังพ่นคำพูดเช่นนี้อยู่ที่นี่เช่นนั้นหรือ!?
ผู้อาวุโสชิวซีตอบอย่างกราดเกรี้ยว
“เจ้า เจ้าน่ะมันเป็นใครกัน! ยังกล้าที่จะมาเถียงข้าอีก!”
เย่หรานหร่านเอ่ยอธิบายอย่างละม่อม
“ผู้อาวุโสชิวซี ท่านนี้มีนามว่ามู่หงอวี่ เป็นลูกศิษย์ที่เจ้าสำนักภูเขาเขี้ยวมังกรรับเข้ามาใหม่”
ผู้อาวุโสชิวซีพลันเงียบกริบ
ทั่วทั้งซีหลิง มีผู้ใดมิรู้บ้างว่าเจี่ยนชูเย่เป็นพวกชอบให้ท้ายคน?
ถ้าหากเผลอไปกวนใจเขาล่ะก็ มันคงจะสร้างปัญหาไม่น้อยเลยทีเดียว…
ผู้อาวุโสชิวซีกล้ำกลืนน้ำลายลงไป และระงับความไม่พอใจไว้ เขาสะบัดเสื้อคลุมของตน แล้วเอ่ยตำหนิด้วยเสียงโมโห
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีสถานะอะไร การที่ฉู่หลิวเยว่กระทำตัวเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง! ถ้าหากครั้งนี้ไม่คิดที่จะเอา…” พูดถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสชิวซีพลันคิดถึงเรื่องก่อนหน้า ฝ่ามือของเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเก่า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันสองครั้งแล้วเปลี่ยนคำพูด “ถ้าหากครั้งนี้ไม่สามารถทำงานสำเร็จได้อย่างราบรื่นแล้วล่ะก็ จำต้องโยนความผิดพลาดทั้งหมดให้ฉู่หลิวเยว่รับผิดแต่เพียงผู้เดียว!”
นี่จึงจะสมเหตุสมผล!
มู่หงอวี่หัวเราะออกมาอย่างขุ่นเคือง
ใบหน้ากลมเล็กของเย่หรานหร่านเองก็ปรากฏแววจริงจังขึ้นมา
แม้กระทั่งเชียงหว่านโจว ผู้ที่ซึ่งกำลังมองไปยังฉู่หลิวเยว่ก็ยังหันศีรษะมามองผู้อาวุโสชิวซีด้วยสายตาเย็นเยียบ
ผู้อาวุโสชิวซีรู้สึกถึงความเย็นวาบแล่นผ่านร่างกายและความเย็นยะเยือกในใจที่อธิบายไม่ได้
เย่หรานหร่านเอ่ยตอบ
“ผู้อาวุโสชิวซี ถ้าหากท่านคิดถึงองค์หญิงสามมากจริงๆ แล้วล่ะก็ เหตุใดท่านจึงไม่ไปตามหานางด้วยตนเองเล่า? เช่นนี้ ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลว่าหลิวเยว่จะก่อเรื่องอันใดไม่ดีที่ส่งผลต่อสัตว์อสูร ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
ผู้อาวุสชิวซีหายใจไม่ออกเสียจนเกือบปลดปล่อยโทสะออกมา มีควันสีขาวลอยขึ้นมาจากศีรษะของเขา และท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยตอบ
“ที่ผ่านมา ฉู่หลิวเยว่ก็ทำเรื่องที่เสี่ยงมากเกินพอแล้ว เหตุใดข้าต้องไปอีกเล่า!? มันถูกต้องแล้วที่จะต้องคอยเฝ้าระวังเสียก่อน!”
มู่หงอวี่แค่นหัวเราะ
ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ
ผู้อาวุโสชิวซีเองก็ตระหนักได้ว่าคำพูดนี้ของตนช่างไร้น้ำหนักนัก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและขาวซีดสลับกัน
ในที่สุดมู่ชิงเห่อก็เปิดปาก
“ผู้อาวุโสชิวซี ท่านมิลองไปดูทางนั้นเสียหน่อย ดูว่าองค์ชายใหญ่เป็นอย่างใดบ้าง บางทีองค์ชายใหญ่อาจหาทางติดต่อองค์หญิงสามได้แล้วกระมัง”
ผู้อาวุโสชิวซีหันศีรษะกลับมอง เห็นเงาร่างหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างเลือนราง
นั่น นั่นคือเจียงอวี่เฉิงหรือ?
“เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงอยู่ที่นี่ได้?”
“เขาได้รับบาดเจ็บ ต้องหยุดพักฟื้นชั่วคราว” มู่ชิงเห่อเอ่ยอธิบาย “ท่านอยู่ที่นี่พอดี คราวนี้ก็สามารถปกป้ององค์ชายใหญ่ได้แล้ว”
ผู้อาวุโสชิวซีหมดคำจะตอบโตแล้วจริงๆ
แทนที่จะมายืนขายหน้าอยู่ที่นี่ สู้จากไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ!
ผู้อาวุโสชิวซีคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา
“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ จะปล่อยให้องค์ชายใหญ่ประทับอยู่พระองค์เดียวได้อย่างใด? เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”
พูดจบ เขาก็จากไป
ในด้านหนึ่ง เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับมู่หงอวี่และผู้อื่นอีกต่อ อีกด้านหนึ่ง ตำแหน่งของเจียงอวี่เฉิงนั้นแท้จริงแล้วไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ถ้าหากว่าที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ แล้วล่ะก็ จากตรงนั้นเขาก็สามารถมาที่นี่อย่างรวดเร็วได้
แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็น…การที่เขาเห็นฉู่หลิวเยว่รนหาที่ตายเองนั้น ย่อมไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อผู้ใดได้
เช่นนั้นก็คงไม่มีอันใดที่ต้องกังวลใจแล้วจริงๆ
หลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว บรรดาคนที่เหลือต่างก็เบาใจลงไปเปราะหนึ่ง
ทว่าฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับมิได้รู้สึกตัวเลย
พื้นที่สองในสามของค่ายกลอันใหญ่ยักษ์ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใส!
จากที่ของฉู่หลิวเยว่ตรงนี้ ย่อมเห็นชัดถึงกิ่งก้านสาขาที่แผ่ออกมาจากไม้ใหญ่
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างอาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ด้วย…
ฉู่หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าต่ออีกหนึ่งก้าว!
ทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดพลันฟาดลงมา!
เปรี้ยง!
แสงเจิดจรัสส่องประกายสว่างจ้าแทบจะทำให้สวรรค์และโลกใบนี้ล้วนส่องสว่าง!
ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะหันมองไปทางไหน ล้วนพบแสงสีขาวสว่างจ้า!
ทันใดนั้นเอง ในพื้นที่สีขาวกว้างใหญ่ ลำแสงหลากสีสันอันงดงามสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างเงียบงัน!
สีสันด้านบนค่ายกลจางหายไปเกือบทั้งหมด เหลือเพียงจุดสุดท้ายที่อยู่ยอดสุดวงนั้น!
ขนนกอันงดงามหาสิ่งใดเปรียบมิได้เส้นหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากอากาศ!