ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 711 เก้าจิ๋ว นี่ข้าเอง
ตอนที่ 711 เก้าจิ๋ว นี่ข้าเอง
แม้กาลเวลาจะผ่านไป ทั้งสถานที่และสิ่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนไปจากในอดีต ทว่ายามที่สายตาของฉู่หลิวเยว่ประสานกับไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้น นางก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือเจ้า เก้าจิ๋ว ที่คอยติดตามและอยู่เคียงข้างนางทุกคืนวัน!
ความรู้สึกนี้คือสัญชาตญาณของคู่หูที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน และมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน!
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดแน่นจนขึ้นข้อขาว หลังจากฉงนไปชั่วขณะ หัวใจดวงน้อยก็เริ่มเต้นแรง เลือดในร่างกายค่อยๆ เดือดพล่าน!
นางไม่รู้เลยว่าต้องใช้ความพยายามมากเพียงใด ในการรั้งไม่ให้ตัวเองก้าวออกไปข้างหน้า!
แต่แววตาของนางนั้นกลับเต็มไปด้วยความโหยหา ก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่พุ่งพล่านขึ้นมาห้อมล้อมตนไว้
เก้าจิ๋ว!
นั่นมันเก้าจิ๋วของนางไม่ผิดแน่!
เดิมทีนางนึกว่ามันตายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาเจอกันในที่แบบนี้!
ความสูญเสียและความเสียใจก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความประหลาดใจและความสุขไม่รู้จบ!
ราวกับฟ้าหลังฝนที่พอคล้อยหลังพายุ ทันใดนั้น ดอกไม้ต่างๆ ก็เติบโตและบานสะพรั่ง พลันพลิ้วไหวไปกับสายลม
เพียงเคลื่อนไหวเบาๆ ความเจ็บปวดและความยากลำบากทั้งหมด ก็แทบไร้ความหมายทันที!
ฉู่หลิวเยว่ไม่ยอมกะพริบตา เพราะกลัวว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นจะเป็นเพียงภาพลวงตา
นางจ้องมองมันเขม็ง ก่อนจะเห็นว่าสีของดวงตาเก้าจิ๋วนั้น…กลายเป็นสีเทา!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจจนไม่กล้าขยับ
ไม่ใช่…
ปกติดวงตาของเก้าจิ๋วจะเป็นสีดำ และเมื่อใช้พลังดวงตาของมันจะกลายเป็นสีรุ้ง
แต่ไหนแต่ไรมันไม่เคยเปลี่ยนเป็นสีเทาเลย
และที่สำคัญที่สุดคือ ในดวงตาสีเทาคู่นั้น…ไม่มีลูกตาดำ!
บางครามันดูเหมือนศิลาสีเทาสองก้อนที่ดูไร้จิตวิญญาณ
แม้ว่ามันเองก็กำลัง “มอง” ฉู่หลิวเยว่เช่นกัน แต่มีเพียงฉู่หลิวเยว่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นว่า จริงๆ แล้วดวงตาคู่นั้นช่างดูไม่ต่างจากบ่อน้ำแห้งๆ ที่โดดเดี่ยวและว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ครู่หนึ่ง มันหันกลับมามองนางอย่างเฉยเมย
ฉู่หลิวเยว่เม้มปากแน่น และเกือบจะเผลอก้าวไปข้างหน้า
พรึบ…
แต่จู่ๆ ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นก็กระพือปีกของมัน!
เสียงลมดังกังวาน!
ส่งผลให้ใบไม้ปลิวว่อน!
กระแสลมกรรโชกแผ่กระจายไปรอบๆ!
ผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ล้วนได้รับผลกระทบและถอยกลับไป!
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากเดินเข้าไป แต่ก็ถูกชายที่อยู่ด้านหลังคนนั้น พาถอยห่างออกไปเสียก่อน
อีกด้านหนึ่ง พี่เหลยสี่และซั่งกวนหว่านที่กำลังต่อสู้กัน ก็ถึงกับผละออกแล้วดีดตัวแยกย้ายไปคนละทิศทาง!
มีเสี้ยวนาทีหนึ่งที่พี่เหลยสี่ไม่ระมัดระวัง จนเผลอถูกแรงนั้นดันจนล้มกลิ้งกระแทกพื้น พลันสบถด่าอย่างเหลืออด
“ไปตายซะ! เจ้าสัตว์ใจทราม! ข้าอุตส่าห์ช่วยปกป้องเจ้าจากอันตราย จะกระพือปีกก็ทำให้มันเบากว่านี้หน่อยมิได้หรือ!”
ไก่ฟ้าเก้าสีแสร้งทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินคำก่นด่าเหล่านั้น
ราวกับมันกำลังโกรธที่มนุษย์เหล่านี้กำลังขัดขวางการทะลวงขั้นพลังปราณของมัน
พี่เหลยสี่ถึงกับปวดหัว
นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือ ถึงได้คุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราวเช่นนั้น!
แต่ถ้ามันเชื่อง พี่ใหญ่กับเขาคงไม่ต้องมาเฝ้ามันที่นี่หรอก!
ส่วนมากเมื่อก่อนมันจะเอาแต่นอนทั้งวัน ซึ่งเป็นการดีที่มันยอมอยู่เงียบๆ ไม่สร้างปัญหา
แต่พอตอนนี้ หลังจากทะลวงขั้นได้ มันก็เริ่มกำเริบเสิบสาน!
อย่าว่าแต่พลังของเขาเลย แม้แต่พี่ใหญ่เอง ก็เกรงว่าจะสู้เจ้านกนี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ!
อย่างใดก็ตาม สถานการณ์ของซั่งกวนหว่านนั้นดีกว่าพี่เหลยสี่อยู่หน่อย
เพราะเมื่อครู่ตอนที่ถูกพลังของปีกนั่นพัดออกมา นางได้ใช้โล่สีดำบดบังพลังที่จะปะทะเข้ามาด้านหน้าตนไว้ได้ทัน จึงไม่ค่อยได้รับความเสียหายมากเท่าใด
ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ล้มลงกับพื้นด้วยความอับอายเช่นเดียวกับพี่เหลยสี่ นางแค่เซถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วหยุดยืนได้อย่างมั่นคง
นางถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งออก พลางคิดว่าโล่นี้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
หากไร้ซึ่งสิ่งนี้ เกรงว่านางคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
ซั่งกวนหว่านหันมองไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้น พลันขมวดคิ้วมุ่น
เหตุใดต้องเป็นไก่ฟ้าเก้าสีอีกแล้ว…
ก่อนหน้านี้นางจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์อสูรระดับเก้าตนนี้ไว้อย่างสวยหรู แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นไก่ฟ้าเก้าสี!
หากเป็นสัตว์อสูรชนิดอื่น นางจะไม่มีปัญหาอันใดเลย
แต่มันกลับเป็นไก่ฟ้าเก้าสี…สัตว์อสูรที่ในอดีตซั่งกวนเยว่เคยทำสัญญาด้วย!
มันทำให้ซั่งกวนหว่านไม่สบายใจอย่างมาก
ทว่าตอนนี้คงเรื่องมากไม่ได้แล้ว!
ก่อนที่เจ้าสิ่งนี้จะทะลวงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ นางจะต้องรีบลงมือทันที!
ซั่งกวนหว่านเผาผลาญพลังปราณดั้งเดิมในร่างกายของตนอย่างบ้าคลั่ง พลันเขย่งปลายนิ้วเท้าแล้วบินขึ้นไปอีกครั้ง!
นางพุ่งตรงไปยังไก่ฟ้าเก้าสี!
ตราบใดที่ดึงขนสีแดงบนหัวของมันออกมาได้ นางก็จะสามารถปราบมันและกลายเป็นเจ้านายของมันได้!
ไก่ฟ้าเก้าสีเอียงศีรษะและมองไปที่ซั่งกวนหว่าน
ทว่าในขณะที่มันกำลังจะโจมตีอีกครั้ง ทันใดนั้น สายตาของมันก็ตกลงบนโล่สีดำด้านหน้าของซั่งกวนหว่าน
มันลังเลที่จะโจมตีไปชั่วขณะ
และนั่นทำให้ซั่งกวนหว่านรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนไก่ฟ้าเก้าสีตัวนี้จะไม่คิดเป็นศัตรูกับนาง! หรือบางทีมันอาจจะยังพอมีสมองอยู่บ้าง ถึงยินยอมให้นางเข้าใกล้!
หรือนี่อาจจะเป็นลิขิตของสวรรค์ที่ประทานอสูรศักดิ์สิทธิ์มาให้นาง!
ซั่งกวนหว่านรู้สึกตื่นเต้น จนขอบตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เพียงพริบตา นางก็มาถึงด้านหน้าค่ายกลนี้แล้ว!
ความผันผวนปรากฏขึ้นบนค่ายกลโปร่งใสทันที!
ลมปราณที่น่าสะพรึงกลัวค่อยๆ รวมตัวกัน และควบแน่นเป็นคลื่นพลัง แล้วพุ่งกระจายไปยังซั่งกวนหว่าน!
เมื่อซั่งกวนหว่านเห็นพลังของค่ายกลนี้ นางจึงยกโล่สีดำขึ้นด้วยความกลัว และซ่อนร่างของตนไว้ด้านหลัง!
ตูม!
คลื่นลูกนั้นซัดเข้าใส่โล่สีดำอย่างแรง! จนเกิดเสียงปะทะดังกึกก้องและแผ่ขยายออกไปไกล!
ไก่ฟ้าเก้าสียังคง “มอง” มาด้านนี้ และจ้องมองโล่สีดำพร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำให้แขนทั้งสองข้างของซั่งกวนหว่านที่ถือโล่สีดำชาไปหมด!
ขณะที่นางกำลังกังวลว่าจะทำอย่างใดต่อไป จู่ๆ นางก็สัมผัสได้ว่าความกดดันหนักอึ้งเหล่านั้นหายไปแล้ว!
นางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นว่าคลื่นพลังนั่นได้แตกตัวออกเป็นสองฝั่งโดยเว้นโล่สีดำของนางไว้!
และทันใดนั้น ก็มีทางเข้าปรากฏขึ้นด้านบนค่ายกล!
โอกาสมาถึงแล้ว!
ซั่งกวนหว่านตื่นเต้นจนรีบพุ่งเข้าไปในทางเข้า โดยไม่คิดไตร่ตรองใดๆ!
เมื่อพี่เหลยสี่เห็นภาพนั้น เขาก็โกรธจัดจนเจ็บตับเจ็บไตไปหมด
“เจ้า! เจ้า!”
เจ้านกโง่นั่น รู้หรือไม่ว่านางผู้นั้นเป็นใคร!?
แค่หลับใหลไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาแล้วถึงกับโง่เช่นนี้เลยหรือ!
นี่มันตาบอดหรือไร!?
ราวว่าหัวใจของฉู่หลิวเยว่จะถูกกระตุ้นด้วยอันใดบางอย่าง
สาเหตุที่ซั่งกวนหว่านเข้าไปได้ ต้องเป็นเพราะโล่สีดำนั่นแน่ๆ!
ดูเหมือนว่าเก้าจิ๋วจะลืมนางไปแล้ว แต่ก็ยังจดจำสิ่งของของนางได้อยู่
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด พลันพุ่งตัวออกไป!
และครานี้ ชายที่ยืนอยู่ข้างนางก็ไม่ได้รั้งกันไว้แล้ว แต่ทำเพียงยืนเอามือไพล่หลัง และเฝ้าดูฉู่หลิวเยว่ที่พุ่งออกไปราวม้าศึกอย่างเงียบๆ ก่อนจะหรี่ตาที่เรียวยาวลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด
ฉู่หลิวเยว่เคลื่อนตัวเร็วมาก แล้วตามซั่งกวนหว่านเข้าไปติดๆ!
พี่เหลยสี่ตกตะลึง
“ยัยหนู เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! รีบออกมาเสีย!”
ข้างในนั้นไม่ใช่สถานที่ที่นางจะเข้าไปได้!
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่ฟัง
นางเงยหน้าแล้วมองไปยังไก่ฟ้าเก้าสี
ไก่ฟ้าเก้าสีเองก็สัมผัสได้ถึงการมาของนาง พลันกระพือปีกเป็นระลอกคลื่น แล้วเส้นแสงหลากสีก็พุ่งออกมามัดฉู่หลิวเยว่แน่นราวกับเชือก!
ซั่งกวนหว่านหันหน้าไปมอง แล้วยิ้มเยาะ
ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในของนาง กำลังถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออก ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว! พร้อมภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ มืดดับ!
แต่นางก็ยังจ้องมองไก่ฟ้าเก้าสีอย่างไม่ลดละ
ซึ่งในที่สุด ไก่ฟ้าเก้าสีก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง แล้วหันมามองนางอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เริ่มหายใจไม่ออก ทว่ามุมปากกลับยังมีรอยยิ้มบางปรากฏอยู่
นางพยายามเปิดปาก แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“เก้าจิ๋ว นี่ข้าเอง”