ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 713 ไม่ต้องรอแล้ว
ตอนที่ 713 ไม่ต้องรอแล้ว
ฉู่หลิวเยว่แทบไม่อยากจะเชื่อ และพิจารณาให้ดีอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าลมปราณของถวนจื่อเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของไก่ฟ้าเก้าสี!
นะ…นี่มัน…
จู่ๆ ความคิดที่โผงผางและฟังดูไร้สาระ ก็ปรากฏขึ้นในหัวของฉู่หลิวเยว่
อย่าบอกนะว่าถวนจื่อกับเก้าจิ๋ว…
ขนนกหลากสีสันค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเข้ม
ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนเป็นวงกว้าง!
ฉู่หลิวเยว่คุ้นเคยกับสีแดงเช่นนี้มาก!
เพราะมันเป็นสีเดียวกับสีของถวนจื่อเป๊ะๆ!
และเมื่อนึกถึงภาพที่ถวนจื่อถูกห่อหุ้มด้วยลูกแสงกลมๆ และถูกไก่ฟ้าเก้าสีกลืนกิน เปลือกตาของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นเครือเล็กน้อย พร้อมอารมณ์ที่แปรปรวน
ถ้าหาก…
ถ้าหากว่า!
ยิ่งสีแดงเหล่านั้นแทรกซึมออกมามากเท่าใด ลมปราณของไก่ฟ้าเก้าสีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งสินะ!
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด มันคือสิ่งมีชีวิตเดียวที่ส่องแสงพร่างพราวที่สุด!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง และภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ก็ฉายชัดเข้ามาในห้วงความคิด
ครั้งแรกที่นางพบกับถวนจื่อ คือตอนที่นางอยู่ในป่านอกเมืองหลวงของแคว้น
มันโผล่ออกมาจากกองใบไม้ที่ทับถม ราวกับว่ามันเพิ่งตื่นจากการหลับใหล ก่อนจะเดินโซเซตามนางออกไป
ตอนแรกนางไม่ได้ตั้งใจจะพาเพียงพอนโลหิตกลับไปด้วย
แต่มันดื้อมาก และเกาะติดนางแน่นราวกับปลิง
จากนั้นก็ได้พบกับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา
ถวนจื่อก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้านางโดยไม่ลังเล
แม้มันจะตัวเล็กมาก ที่ขนาดว่าดวงตาข้างเดียวของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหายังใหญ่กว่า
แต่มันก็ยังสู้ไม่ถอย
ถึงจะได้แผลฟกช้ำดำเขียว มันก็ไม่เคยเสียใจ
และหลังจากนั้น…ชีวิตของมันก็จำต้องเผชิญกับอันตรายไม่จบไม่สิ้น
ความเป็นจริงแล้ว นางสามารถสรุปเรื่องวีรกรรมของมันได้ในสองหรือสามประโยค
แต่คนที่จะตระหนักได้ถึงคุณค่าและความหมายของการกระทำเหล่านี้ นั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้
เมื่อก่อนอาจไม่รู้สึก แต่พอมานึกย้อนตอนนี้ ถึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นมันหยั่งรากลึกเสียแล้ว
…ในโลกนี้ จะมีสัตว์อสูรที่ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อคนแปลกหน้า โดยปราศจากผลตอบแทนด้วยหรือ?
ถึงมันจะชอบทำตัวเอื่อยเฉื่อยไม่เอาไหน
และถึงมันจะชอบทะเลาะกับปีศาจแดง
แต่มันกลับเชื่อใจและเป็นที่พึ่งให้นางได้เสมอ
…
ฉู่หลิวเยว่หลุดเสียงหัวเราะดังหึออกมาเบาๆ ทว่าขอบตาของนางกลับรื่นไปด้วยน้ำตา
หยดน้ำตาเอ่อคลอและไหลลงมาเงียบๆ ทว่าไม่นานมันก็จางหายไป
ภายในร่างกาย ลมปราณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นช่างแปลกประหลาดและคุ้นเคย!
มันคือถวนจื่อ!
และก็เก้าจิ๋ว!
ปรากฏว่ามันอยู่เคียงข้างนางมาตลอด!
…
“กรี๊ด…ไม่นะ!”
ซั่งกวนหว่านพลิกตัวและหมุนตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมส่งเสียงคร่ำครวญออกมาอย่างต่อเนื่อง
“องค์หญิงสาม!”
ทุกคนที่อยู่นอกค่ายกลล้วนมองเห็นสถานการณ์ในนี้ แล้วตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาตกใจจนพูดไม่ออกอยู่นาน
และในที่สุด พวกเขาก็รู้สึกตัวเพราะเสียงกรีดร้องของซั่งกวนหว่าน
ผู้อาวุโสชิวซีรุดไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว
เขาได้รับหน้าที่ให้มาคุ้มครองซั่งกวนหว่าน หากมีอันใดเกิดขึ้นกับนาง แล้วเขาจะมีหน้ากลับไปอธิบายให้คนที่เหลือฟังได้อย่างใด!
ทว่าพอถึงด้านหน้าค่ายกล เขากลับเจอปัญหาเข้าเสียได้
เขาจะเข้าไปอย่างใด?
เมื่อครู่นี้มีทางเข้าปรากฏขึ้นด้านบนของค่ายกล ซึ่งซั่งกวนหว่านและฉู่หลิวเยว่เองก็เข้าไปจากทางนั้น
แต่ตอนนี้…ทางเข้านั้นปิดไปแล้ว!
ค่ายกลโปร่งใสขนาดใหญ่เปล่งประกายด้วยแสงเรืองรอง พร้อมแรงบีบอัดพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก!
ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา การฝืนทะลวงเข้าไปนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
เขาเหลือบมองมู่ชิงเห่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง ผู้ซึ่งปิดปากเงียบมาตลอด
“รองแม่ทัพมู่ เจ้ามีวิธีเข้าไปด้านในค่ายกลหรือไม่? องค์หญิงสามกำลังตกที่นั่งลำบาก หากเข้าไปช่วยนางไม่ทัน เกรงว่าคง…”
มู่ชิงเห่อมองไปยังไก่ฟ้าเก้าสีภายในค่ายกลพลันขมวดคิ้ว
เจ้าไก่ฟ้าเก้าสีตัวนี้…มองอย่างใดก็ไม่เหมือนเจ้าตัวนั้น แต่ทว่าเหตุใดในใจเขาถึงสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยเพียงนี้?
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสชิวซี เขาก็หันไปมองเล็กน้อย พลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ต่อให้พวกเรารวมพลังกัน ก็ยังยากที่จะบุกเข้าไปได้ เว้นเสียแต่…ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นจะยอมให้พวกเราเข้าไป”
เมื่อครู่ก่อนเขาอยู่ใกล้ค่ายกลนั้นมาก และเห็นเต็มสองตาว่าการที่ซั่งกวนหว่านบุกเข้าไปได้นั้น เกิดจากการที่เจ้าของค่ายกลยินยอมให้นางเข้าไป
ผู้อาวุโสชิวซีเริ่มร้อนรน
“ชะ เช่นนั้นจะทำอย่างใดดี? พวกเราจะมองดูอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ?”
เจียงอวี่เฉิงเม้มปากแน่น
ทันใดนั้น เสียงของเจียงอวี่เฉิงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขา
“ต้องลองถามฉู่หลิวเยว่”
ผู้อาวุโสชิวซีและมู่ชิงเห่อหันมองหน้ากัน
“องค์ชายใหญ่ นี่ท่านจะบอกว่า…” สีหน้าของผู้อาวุโสชิวซีดูเลื่อนลอย
เจียงอวี่เฉิงพักรักษาตัวพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้บาดแผลส่วนใหญ่ก็ได้รับการซ่อมแซมแล้ว
เขาเชิดคางขึ้น
“ฉู่หลิวเยว่เองก็เข้าไปแล้วมิใช่หรือ?”
“แต่องค์ชายใหญ่ขอรับ นางแค่ฉวยโอกาสและตามองค์หญิงสามเข้าไป ไฉน…”
“ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้น จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ได้คร่าชีวิตนาง ขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่พออีกหรือ?”
เจียงอวี่เฉิงเหลือบมองผู้อาวุโสชิวซีอย่างเย็นชา
ผู้อาวุโสชิวซีชะงัก พลันนึกขึ้นได้!
ใช่แล้ว!
ถึงสัตว์อสูรของฉู่หลิวเยว่จะโดนไก่ฟ้าเก้าสีกินไปแล้ว ทว่านางกลับยังยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เป็นอันตรายใดๆ!
นอกจากตอนที่มันทำร้ายนางครู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนไปปฏิบัติต่อนาง ราวกับมิตรของมันอย่างใดอย่างนั้น!
นอกจากนี้ การโจมตีเพียงครั้งเดียวในตอนนั้น ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับฉู่หลิวเยว่เลย
แต่กลับกลายเป็นซั่งกวนหว่านเสียเอง… ก่อนหน้านี้เขานึกว่านางจะทำสัญญาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาชีวานั้นแทบจะหาไม่แล้ว!
เมื่อไตร่ตรองจนเข้าใจ ผู้อาวุโสชิวซีก็เข้าใจแล้วว่าเจียงอวี่เฉิงหมายถึงอันใด แต่เขาก็ยังถือทิฐิอยู่มาก
“องค์ชายใหญ่ ท่าน…ท่านอาจจะไม่ทราบว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นดื้อรั้นเพียงใด ความเห็นของนางกับข้านั้น…”
ต่อให้เขาไปถาม ก็ย่อมไม่ได้คำตอบ
“เช่นนั้นข้าไปเอง”
มู่ชิงเห่อโพล่งขึ้นมากะทันหัน
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้ารับ
ผู้อาวุโสชิวซีจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นมูชิงเห่อก็หมุนตัว มุ่งหน้าไปยังจุดที่ฉู่หลิวเยว่อยู่ทันที
ความจริงแล้ว ถ้าไม่มีค่ายกลนั้นกั้นขวาง ระยะห่างของเขากับนางก็อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่
แต่ทว่า สำหรับมู่ชิงเห่อนั้น ดูเหมือนขาของเขาจะเต็มไปด้วยตะกั่ว แต่ละก้าวที่ย่ำออกไปนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับมีก้อนหินมาบดขยี้หัวใจของเขาจนแทบหายใจไม่ออก
พร้อมความฟุ้งซ่านที่พุ่งพล่านอยู่ในสมอง!
ไก่ฟ้าเก้าสี…
ความจริงแล้วไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้น จะใช่…
…
เมื่อพี่เหลยสี่เห็นฉู่หลิวเยว่ตามซั่งกวนหว่านเข้าไป เขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ขนาดเขากับพี่ใหญ่เฝ้ามองมันอยู่ที่นี้ตั้งหลายวันหลายคืน ยังไม่ได้เข้าไปข้างในเลย แล้วเหตุใดสองคนนั้นถึงเข้าไปได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น!?
นี่มันไร้สาระสิ้นดี!
ทว่าในขณะที่ในใจเต็มไปด้วยความแค้นและไม่มีที่ระบาย จนเริ่มคิดที่จะเลิกสู้ เขากลับเห็นไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นโจมตีซั่งกวนหว่านเสียก่อน!
และพอเห็นซั่งกวนหว่านล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด โดยมีแผลหนองเต็มแขน ในที่สุดพี่เหลยสี่ก็ได้ระบายความแค้นเคืองในใจออกมาเสียที!
เยี่ยมยอดที่สุด!
ตอนนี้เขากับพี่ใหญ่ไม่สามารถทำอันใดพวกของซั่งกวนหว่านได้ แต่ไก่ฟ้าเก้าสีได้ลงมือไปแล้ว ใครมันจะต่อต้านได้อีก?
“มันต้องอย่างนี้สิ!”
พี่เหลยสี่รู้สึกสบายกายสบายใจอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเบนสายตาไปมองฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
น่าแปลกจริง
เหตุใดยัยหนูนี่ถึงไม่เป็นอันใดเลย?
เขาหันไปมองพี่ใหญ่ และหมายจะใช้โทรจิตสื่อสารกัน ทว่ากลับเห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้ง
พี่เหลยสี่ชะงัก พลันสาวเท้าไปหาเขา
“พี่ใหญ่ นั่นท่านกำลังคิดอันใดอยู่?”
มุมปากของชายคนนั้นโค้งขึ้นช้าๆ
“ข้ากำลังคิดว่า พวกเราคง ไม่จำเป็นจะต้องรออยู่ที่นี่อีกแล้ว”