ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 737 น่ารังเกียจอย่างมาก
ตอนที่ 737 น่ารังเกียจอย่างมาก
เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วกลับหลังหันไปมอง
“คุณหนูหยาง ที่เจ้าพูดเช่นนี้…หมายความว่าอย่างใด?”
หยางซิ่นเอ๋อร์เหลือบสายตามองฉู่หลิวเยว่ เมื่อประสานกับสายตาดำขลับดุจหยกดำ และสายตาที่เรียบสงบ หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง และรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็วราวกับกลัวโดนไฟไหม้
นางถอยหลังไปครึ่งก้าว เหมือนหวาดกลัวการกระทำของฉู่หลิวเยว่
“คุณหนูฉู่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ข้าก็แค่…ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น! ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเลย! ศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้ ต่างก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักกระบี่เมฆาม่วง เมื่อพวกเขาต้องมาตายเช่นนี้…ข้าเองก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก…ข้ากำลังโทษตนเองอยู่! ถ้าเมื่อครู่ยืนยันขอความช่วยเหลือจากเจ้า ไม่แน่ว่าเรื่องทั้งหมด มันคงจะไม่เกิดขึ้น”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ราบเรียบอย่างมาก ริมฝีปากส่งยิ้มเย็นๆ ออกมา
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาแล้ว หยางซิ่นเอ๋อร์จะซื่อสัตย์มากขึ้น
แต่คิดไม่ถึงว่าปากแบบนี้ ยังจะกลับดำเป็นขาวได้อยู่ โดยที่ไม่แยกแยะถูกผิดอันใดเลย
แต่เมื่อซ่งชิงเหนียนได้ยินดังนั้น
เขาก็ตบไหล่หยางซิ่นเอ๋อร์เบาๆ พร้อมพูดปลอบใจว่า
“ซิ่นเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่สามารถโทษเจ้าได้ เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย! เจ้าอย่าดูถูกตัวเองเลยนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็หันมามองฉู่หลิวเยว่
ใบหน้าอบอุ่นเปลี่ยนเป็นเย็นชาภายในเสี้ยววินาที ท่าทางโกรธจนตาไม่ใช่ตา จมูกไม่ใช่จมูก[1]
“ฉู่หลิวเยว่ สิ่งที่ซิ่นเอ๋อร์พูดใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมื่อเจ้าสามารถจัดการกับรากไม้เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แล้วเหตุใดถึงยังชักช้าไม่รีบลงมือ แต่กลับรอให้ศิษย์ร่วมสำนักของพวกเราทั้งสองคนตายก่อนถึงจะยอมลงมือ? เช่นนี้หมายความว่าเจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?”
หยางซิ่นเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ นางได้ล่วงเกินฉู่หลิวเยว่โดยไม่ได้ตั้งใจ
นั้นเพราะว่าสำนักกระบี่เมฆาม่วงและสำนักชงซูเก๋อไม่ถูกกันมาโดยตลอด และฉู่หลิวเยว่ก็ทำให้นางลำบากใจมาตั้งหลายครั้ง
ช่วงนี้ชื่อเสียงของฉู่หลิวเยว่ในเมืองซีหลิงก็โด่งดังอย่างมาก เดิมทีซ่งชิงเหนียนก็ไม่ชอบใจฉู่หลิวเยว่
อยู่แล้ว
กอปรกับสิ่งที่หยางซิ่นเอ๋อร์พูดขึ้นมาข้างๆ เขา ทำให้เขายิ่งรู้สึกรังเกียจฉู่หลิวเยว่มากขึ้นไปอีก
ดังนั้นความผิดทั้งหมดตอนนี้จึงกองอยู่ที่ตัวของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่กลับหัวเราะขึ้นมา
“ถ้าข้าจำไม่ผิดแล้วละก็ ตอนแรกข้ายื่นมือจะเข้าไปช่วยเหลือพวกเจ้า แต่สุดท้ายกลับโดนพวกเจ้าปฏิเสธ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงกลายเป็นความผิดของข้าไปได้ล่ะ? คุณชายซ่ง ตอนแรกท่านเป็นคนพูดเช่นนั้นเอง ตอนนี้เจ้าคงยังไม่ลืมหรอกใช่หรือไม่?”
ซ่งชิงเหนียนสำลัก ใบหน้าก็มีสีแดงก่ำ
เดิมทีในตอนนั้นเขาไม่ได้มองฉู่หลิวเยว่อยู่ในสายตาเลย ถึงได้พูดเช่นนั้นออกไป
แต่ใครจะรู้เล่าว่าฝีมือของฉู่หลิวเยว่จะแข็งแกร่งขนาดนี้?
สำนักกระบี่เมฆาม่วงเข้าร่วมการเดินทางนี้ทั้งหมดสิบคน ก่อนหน้านี้ตายไปแล้วสองคน ตอนนี้ตายอีกสองคน!
นอกจากเขาแล้วหยางซิ่นเอ๋อร์แล้ว คนที่เหลือก็ยังคงหายสาบสูญ ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย
ฐานะของซ่งชิงเหนียนนับว่าสูงส่ง หลีกเลี่ยงที่จะรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้
การเดินทางครั้งนี้ เขาเป็นคนนำทางมา อีกทั้งคนที่มานั้นล้วนเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักกระบี่เมฆาม่วง
เมื่อมาตายอย่างอนาถเช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปอธิบายว่าอย่างใด
แน่นอนว่าความโมโหทั้งหมดก็ถูกใส่ไปที่ฉู่หลิวเยว่
“ฉู่หลิวเยว่ คนที่อยู่ที่นี่ล้วนบาดเจ็บ มีแต่เจ้าเพียงคนเดียวที่…ไม่ได้บาดเจ็บอันใดเลย! ที่นี่ลึกลับมากแค่ไหน เจ้ารู้ดีกว่าใครทั้งหมด! เจ้ารู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตราย แต่กลับเลือกที่จะยืน
มองอยู่เฉยๆ! ถ้าเจ้าอยากจะช่วยคนจริงๆ แล้วละก็ เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วยเล่า?!”
ฉู่หลิวเยว่ลอบคร่ำครวญถึงความโง่ของซ่งชิงเหนียน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของพี่เหลยสี่ตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน
“นี่เจ้าผายลมอันใดอยู่หรือ?”
ซ่งชิงเหนียนพูดอย่างหนักแน่นและดูเหมือนมีเหตุผลรองรับ แต่เมื่อได้ยินเสียงคำรามของพี่เหลยสี่ เขาก็ตัวสั่นทันที พร้อมกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปจนหมด
เขามองไปยังพี่เหลยสี่ด้วยความโกรธระคนอับอาย
“เจ้า เจ้า…”
เขาเป็นใครกัน ข้ายังไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนเลยนะ!
ระคายหูอย่างมาก!
อัปยศอย่างมาก!
“การช่วยเหลือเจ้าเป็นแค่ไมตรีจิต ไม่ใช่หน้าที่! พวกเรามาที่นี่ด้วยเจตนาดี แต่พวกเจ้าไม่รับน้ำใจก็ช่างมันเถิด แต่สุดท้ายแล้วยังจะมาทำร้ายกันเช่นนี้อีก!? ถ้าเจ้ามีความสามารถขนาดนั้นเหตุใดไม่ไปช่วยเองล่ะ!? คนเหล่านั้นก็เป็นคนของสำนักกระบี่เมฆาม่วงไม่ใช่หรือ? ไม่ได้เกี่ยวกับพวกข้าเสียหน่อย!?”
“อย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกนะโว้ย! ระยะห่างของเจ้ากับคนเหล่านั้นก็พอๆ กัน แต่เจ้ามันเห็นแก่ตัว ใจสกปรก จะช่วยคนนี้ไว้ก่อนก็ช่างเถอะ! ได้ยินว่าเจ้าคือนายน้อยของสำนักกระบี่เมฆาม่วงไม่ใช่หรือ? ฮ่า! ถ้าศิษย์ในสำนักของเจ้ารู้เข้าว่าเจ้าเลือกผู้หญิง แล้วทอดทิ้งศิษย์ร่วมสำนัก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างใดกันนะ!”
พี่เหลยสี่ด่าซ่งชิงเหนียนเป็นชุด ด่าเหมือนเอาเลือดหมามารดหัว[2]
ฉู่หลิวเยว่ลูบจมูกของตัวเอง
ตอนแรกพี่เหลยสี่ดูเป็นคุณชายที่สง่างาม คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้แล้ว ฝีมือในการด่าคนของเขาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ซ่งชิงเหนียนโดนด่าจนไม่มีแรงเถียงกลับ เขาจึงได้แต่ตัวสั่นเพราะความโกรธเท่านั้น
ไม่มีทางสู้ ใครใช้ให้ฝีมือของพี่เหลยสี่แข็งแกร่งกว่าเขากันล่ะ?
แม้ว่าเขาจะถูกความหยิ่งยโสครอบงำ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีสมองเลย
ถ้าเขาล่วงเกินพี่เหลยสี่ในที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะได้ออกจากที่นี่ไปได้หรือเปล่า?
พี่เหลยสี่ด่าซ่งชิงเหนียนเสร็จ ก็หันไปมองหยางซิ่นเอ๋อร์
“แล้วก็เจ้า!”
หยางซิ่นเอ๋อร์รีบหดตัวหลบด้านหลังของซ่งชิงเหนียนทันที
“หลบทำบ้าอันใด!”
พี่เหลยสี่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเลย เขารู้เพียงแค่คนที่ล่วงเกินฝ่าบาทของเขาเท่ากับต้องตาย!
“ดูเหมือนว่ายังจะอายุไม่มาก แต่เรื่องสร้างความขัดแย้งเจ้ากลับทำอย่างได้ชำนาญยิ่งนัก! ถ้าปากพูดสิ่งดีๆ ไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเย็บให้!”
หยางซิ่นเอ๋อร์ตกใจจนรีบเอามือปิดปากตนเองทันที แล้วหลบเข้าที่ด้านหลังของซ่งชิงเหนียน ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย มีเพียงน้ำตาที่ไหลริน นางกอดแขนของซ่งชิงเหนียนตัวสั่นสะท้าน ราวกับว่ารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
หากปกติ ถ้าซ่งชิงเหนียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาจะรีบช่วยนางออกหน้าทันที
แต่ตอนนี้ทำไม่ได้
เขาก็อยู่ในเรื่องนี้เช่นกัน แล้วเขาจะมาสนใจหยางซิ่นเอ๋อร์ได้อย่างใด?
ฉู่หลิวเยว่มองคนทั้งสองในสภาพจนตรอกขนาดนั้น ก็รู้สึกสนใจเล็กน้อย
สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดก็คือซั่งกวนหว่าน
เมื่อมีคนมาช่วยเหลือ นางก็ไม่สามารถติดตามสถานการณ์ของซั่งกวนหว่านได้อีกแล้ว
เกรงว่าซั่งกวนหว่าน…จะสามารถฟื้นฟูเส้นชีพจรได้จริงๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจียงอวี่เฉิงและพรรคพวก
ที่แท้เป็นเพราะว่าพวกเขาอยู่ที่นี่นานเกินไป คนที่อยู่ด้านหลังจึงร้อนใจมาก ดังนั้นจึงมาตามด้วยตนเอง
เมื่อเห็นเจียงอวี่เฉิง ซ่งชิงเหนียนก็เหมือนเห็นคนที่สามารถพึ่งพาได้
“อวี่เฉิง!”
เขากับเจียงอวี่เฉิงอายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งฐานะทางตระกูลของอีกฝ่ายก็ไม่เลว จึงติดต่อกันอยู่ตลอด
สายตาของเจียงอวี่เฉิงหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ก่อนคนแรก เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นไร เขาจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองซ่งชิงเหนียน
“ชิงเหนียน ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง แล้วนี่เป็นอันใดไป เหตุใดถึงดูจนตรอกมากขนาดนี้?”
ซ่งชิงเหนียนรีบสาวเท้าขึ้นมาด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว ตอนที่กำลังจะเริ่มพูด ก็นึกขึ้นได้ว่าพี่เหลยสี่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาจึงรีบลดเสียงพูดลงทันที
“อวี่เฉิง พวกเจ้าต้องระวังฉู่หลิวเยว่เอาไว้ให้ดีนะ! นาง…นางมีปัญหา!”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หา?”
ซ่งชิงเหนียนพูดต่อว่า
“เมื่อครู่นางกับผู้ชายคนนั้น…ข่มขู่ข้ากับซิ่นเอ๋อร์…”
“น่าแปลก เมื่อครู่พวกเขาสองคนเพิ่งบอกว่าจะมาดูทางนี้ ตามหลักการแล้วเขาไม่น่าจะทำแบบนั้นนะ”
ไหนเลยเจียงอวี่เฉิงจะเดาความคิดของซ่งชิงเหนียนไม่ออก
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาจะต้องอดทนและแสร้งทำเป็นคล้อยตาม แต่ตอนนี้…เมื่อได้ยินว่าฉู่หลิวเยว่โดนใส่ร้าย เขาก็กลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เขามองไปทางฉู่หลิวเยว่
“หลิวเยว่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ใบหน้าแข็งค้าง และรู้สึกมวนท้องขึ้นมา
[1]ตาไม่ใช่ตา จมูกไม่ใช่จมูก แปลว่า ท่าทางโกรธจนหน้าหงิก คิ้วตก หัวร้อน โกรธจนหน้าตาไม่น่าดู
[2]เอาเลือดหมามารดหัว แปลว่า มีเรื่องเล่าว่าสมัยก่อนเชื่อว่าคนไหนเป็นแม่มดพ่อมด วิธีที่จะหยุดมนต์ดำของเขาหรือเธอคือต้องเอาเลือดหมามารดหัว เพราะเลือดหมาทำให้มนต์เสื่อม แม่มดพ่อมดทำอันใดต่อไม่ได้ ปัจจุบันใช้ในความหมายว่าโดนด่าซะเละ คนถูกด่าเหมือนพ่อมดแม่มดที่โดนเลือดหมามารดหัว