ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 759 ลำบากเจ้าแล้ว
ตอนที่ 759 ลำบากเจ้าแล้ว
“ข้าเคยเห็นมันในตำราสมัยก่อนเท่านั้น…แต่ดูจากรูปร่างของมันแล้ว ช่างเหมือนบัวระบำยิ่งนัก!”
ผู้อาวุโสชิวซีตื่นเต้นจนหน้าดำหน้าแดง
ขุมทรัพย์จากสรวงสวรรค์เช่นนี้ ต่อให้ค้นทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่ง ก็แทบไม่มีแม้แต่ร่องรอย!
“ว่ากันว่าบัวระบำนั้นจะใช้เวลาราวหนึ่งร้อยปีเพื่องอกเงยออกมาจากโคลนตม และใช้เวลาอีกร้อยปีเพื่อแตกก้าน จากนั้น กว่ากลีบดอกจะบานก็ต้องรอไปอีกสามร้อยปี ทว่าในช่วงเวลาเพียงห้าปีนั้น…ถ้าไม่มีใครเด็ดมันล่ะก็ บัวระบำดอกนี้จะร่วงโรยและเกิดผลอีกครั้ง เข้าสู่วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดอีกห้าร้อยปีหลัง…และในยามนี้ บัวระบำดอกนี้ก็บานแล้ว!”
ดวงตาของผู้อาวุโสชิวซีเปล่งประกาย
“องค์หญิง คราวนี้พวกเรามาถูกที่แล้ว! ตราบใดที่เรามีบัวระบำดอกนี้ พระพลานามัยของฝ่าบาทจะทรงดีขึ้นอย่างแน่นอน!”
สำหรับวัตถุดิบยาที่พวกเขาวางแผนจะหาก่อนหน้านี้ แม้จะถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่เมื่อเทียบกับบัวระบำแล้ว คุณสมบัติของพวกมันยังด้อยกว่าหลายเท่า!
ซั่งกวนหว่านดีใจมาก
สาเหตุที่นางเดินทางมาแดนภังคะในครานี้ ก็เพื่อหาวัตถุดิบปรุงโอสถให้ท่านพ่อ
ส่วนอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการครอบครอง ก็ตายไปกับฉู่หลิวเยว่แล้ว
ถ้าจะให้ตามหาตัวใหม่อีกครั้ง ก็เกรงว่าจะลำบากเกินไป
แต่ขอแค่ได้บัวระบำมา นางก็ไม่จำเป็นต้องตามหาวัตถุดิบยาชนิดอื่นแล้ว!
ถ้ามันกลับไปได้ ทุกอย่างก็จะเสร็จสมบูรณ์!
“ต้องเป็นความกตัญญูขององค์หญิงสามแน่ๆ ที่ทำให้เราได้เจอกับบัวระบำดอกนี้!”
ผู้อาวุโสชิวซีถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่ลืมที่จะชมเชยนาง
ซั่งกวนหว่านที่ได้ยินก็ยิ่งได้ใจ
“ใช่ที่ไหนกันเล่า? นั่นเป็นเพราะท่านพ่อเป็นบุตรแห่งสวรรค์ผู้สูงศักดิ์ คำอวยพรของท่านต่างหากที่ทำให้ข้าบังเอิญมาเจอกับบัวระบำดอกนี้”
หากมีบัวระบำนี่ เพียงนางเด็ดมันมาใช้บางส่วน มันอาจช่วยรักษารอยแผลเป็นบนใบหน้าและอาการบาดเจ็บบนร่างกายของนางได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ ซั่งกวนหว่านก็ยิ่งตื่นเต้น พลันสาวเท้าไปข้างหน้า
แต่ในขณะที่ก้าวไปได้ครึ่งก้าว นางก็นึกถึงสิ่งที่มู่ชิงเห่อเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้
ทะเลสาบกระจกนี่…ไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดา?
นางหันขวับไปมองมู่ชิงเห่อ
“รองแม่ทัพมู่ ท่านคือคนที่รู้จักทะเลสาบกระจกดีที่สุด เช่นนั้น…ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะรู้วิธีเด็ดบัวระบำดอกนั้นหรือไม่?”
…
หลังจากที่ซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ เคลื่อนทัพขนาดใหญ่ออกไป มู่หงอวี่และกลุ่มของนางก็ยังคงอยู่ที่เดิม
เมื่อไร้ซึ่งเงาของคนเหล่านั้น พี่เหลยสี่ถึงพูดขึ้นมาว่า
“พี่ใหญ่ เจ้าพอรู้วิธีค้นหานางหรือไม่?”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหม่าและกังวล ลึกลงไปในดวงตาของเขา มีร่องรอยแห่งความกลัวแฝงอยู่
เขากลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง
ถึงจะมีกษายะหางวายุอยู่ด้วย ทว่ายามนี้นางเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับห้าเท่านั้น หากพบเจอกับภัยอันตรายที่เกินรับมือล่ะก็…
ไหนจะพลังที่แผ่กระจายออกไปอย่างแผ่วเบาที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ที่ทำเอาเขาตื่นตกใจได้ขนาดนี้อีก!
ฉินอีขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองไปที่ต้นแม่ ดวงตาคมยาวรีหรี่ตาลงทีละนิด
“นางอยู่ข้างล่างนั่นแน่ๆ แต่ว่า…ยามนี้พวกเราไม่ควรเข้าไป”
สิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนก็แสดงออกถึงความผิดหวัง
“แม้แต่คุณชายฉินอย่างเจ้าก็เข้าไปไม่ได้หรือ?”
เย่หรานหร่านถามเสียงแผ่ว พร้อมดวงตาแดงระเรื่อ
ฉินอีคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาแล้ว
ถ้าแม้แต่คนอย่างเขายังทำไม่ได้ แล้ว…
ฉินอีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองไปยังเชียงหว่านโจว
“เจ้าพอจะรับรู้สถานการณ์ของนางในตอนนี้หรือไม่?”
เชียงหว่านโจวเม้มปากแน่น พลันส่ายศีรษะ
เขามีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนทั่วไป และนางคือคนหลอมกระบี่เทพเมฆาสำริดเล่มนี้ขึ้นมา ดังนั้นมันจึงช่วยให้เขาสามารถระบุตำแหน่งของนางได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และรู้ถึงชีพจรชีวิตของนาง
แต่ถ้าจะให้สัมผัสมากกว่านั้น เกรงว่าคงจะทำไม่ได้
อีกอย่าง ดั่งที่ฉินอีได้กล่าวไปว่า ที่ด้านล่างนั่นมีพลังบางอย่างปิดกั้นทุกสิ่งไว้ ทำให้ไม่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย
ขณะนี้ใบไม้ที่อยู่บนต้นแม่เหลือเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น
ฉินอีเหลือบมองมันครู่เดียว พลันสะบัดแขนเสื้อ แล้วใช้พลังปราณสร้างค่ายกลขึ้นมา!
ค่ายกลสีเขียวอมฟ้าห่อหุ้มร่างของมู่หงอวี่และคนอื่นๆ ในทันที!
เมื่อเทียบกับค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นครั้งก่อน ถือว่าลมปราณในครั้งนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
พวกของมู่หงอวี่มองหน้ากันอย่างตกใจ
ดูเหมือนว่าค่ายกลของฉินอีจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก!
แสดงว่าก่อนหน้านี้เขาซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองไว้!
“พี่สี่ เจ้าคอยดูพวกเขาอยู่ที่นี่ ส่วนข้าจะลงไป ประเดี๋ยวก็กลับมา”
พี่เหลยสี่ตอบกลับทันควัน “พี่ใหญ่ ข้าจะไปกับเจ้า!”
ฉินอีส่ายหน้า
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้างล่างนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ปลอดภัยไว้จะดีกว่า
และคนเหล่านี้คือเพื่อนคนสำคัญขององค์หญิง เป็นธรรมดาที่เขาจักต้องปกป้องทุกคนให้ปลอดภัย
พี่เหลยสี่จำต้องรออยู่ที่เดิม
ส่วนฉินอีก็หมุนตัวแล้วเดินไปข้างหน้า
ใบไม้เหี่ยวๆ สีเหลืองร่วงลงมาใส่ศีรษะและลำตัวของเขาทีละใบ
เขายกมือขึ้นหยิบใบไม้ออก แล้วมองดูมันอย่างละเอียด
ใบไม้ที่แต่เดิมเป็นสีเขียวมรกตสวย กลับกลายสีเหลืองอย่างรวดเร็ว และม้วนงอในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ราวกับว่าพลังและความมีชีวิตชีวาที่อยู่ในนั้น จะถูกดูดหายไปโดยบางสิ่ง
เขาขมวดคิ้วพลางมองไปด้านหน้า
ทันใดนั้นกิ่งไม้ด้านบนก็หักแล้วหล่นลงมา!
นั่นหมายความว่า กิ่งไม้นั้นแห้งตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฉินอีเหลือบมองมันและกำลังจะเดินต่อ แต่จู่ๆ ก็พบว่ามีแสงสีเขียวส่องผ่านขึ้นมาบริเวณที่กิ่งไม้หัก
เขาเขยิบเข้าไปใกล้อีกสองก้าว แล้วก้มหน้าลงมอง
ปรากฏว่าบนรอยแตกหักนั้นมีชั้นแสงสีเขียวจางๆ!
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ พลันสะบัดมือแล้วใช้พลังปราณตัดกิ่งไม้นั่น!
กิ่งไม้หล่นลงบนพื้น ตรงที่เดิม เช่นเดียวกับภาพที่มันล่อนลงมาเมื่อครู่!
แกร่ง!
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงแตกหักดังมาจากด้านหน้า
ฉินอีเงยหน้าขึ้นมาอย่างเร็ว ก่อนจะเห็นรอยเป็นรูบริเวณลำต้นหนา!
รอยแตกนั้นหนาไม่เกินหนึ่งนิ้วและยาวเพียงหนึ่งนิ้ว เมื่อเทียบกับต้นไม้ทั้งต้นแล้ว ย่อมไม่ใช่รอยใหญ่แต่อย่างใด
แต่ไม่นานก็มีแสงสีเขียวเข้มส่องออกมาจากรู!
…
ลึกลงไปใต้ดิน ด้านในถ้ำมีแสงสว่างสาดส่องไปทุกทิศทุกทาง
บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความเงียบสงัด
“… โดยรวมแล้วก็เป็นเช่นนี้”
ฉู่หลิวเยว่อธิบายเรื่องของตนให้องค์ไท่จู่ฟังสั้นๆ อย่างใจเย็น จากนั้นก็คุกเข่าลงและโค้งคำนับอีกครั้ง
“หวังว่าองค์ไท่จู่จะอภัยให้ข้า ที่เคยปกปิดท่านไว้หลายเรื่องเช่นนี้”
องค์ไท่จู่มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบผมของนางเบาๆ แล้วถอนหายใจยาว
“เด็กเอ๋ย เจ้าคงลำบากมามาก”